จิตสุขในความทุกข์ ทุกข์ที่ไม่จำเป็น - พระอาจารย์ชยสาโร (ชาวอังกฤษ) |
|
จิตสุขในความทุกข์ - พระอาจารย์ชยสาโร (ชาวอังกฤษ) |
[ ความเห็นที่ 1]
RE : จิตสุขในความทุกข์ ทุกข์ที่ไม่จำเป็น - พระอาจารย์ชยสาโร (ชาวอังกฤษ) โพสต์เมื่อ: วันพฤหัสบดี 24 มกราคม 2562 12:52 น.
พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
การฝึกดูจิต ให้พ้นทุกข์ ทำอย่างไร ?? พระธรรมเทศนาสำหรับผู้เริ่มต้น ธรรมมะนั้นเป็น ของดี ของวิเศษ แต่คนทั่วไปนั้นไม่เข้าใจ น่าเสียดายที่สุดเลย... เรามีมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญมาก ก็คือ ธรรมมะ นี่แหละ อยู่คู่บ้านคู่เมืองมานานเป็นพันๆ ปี แต่เราอยู่มา จนเราเคยชิน เกิดมาเราก็ได้ยินเรื่องของศาสนาพุทธ เกิดมาเราก็เห็นวัด เกิดมาเราก็เห็นพระ เราคุ้น ๆ ... คุ้น.. จนกระทั่งที่เรา "ไม่ได้สนใจ" ถ้าหากใครได้ศึกษาได้ปฏิบัติธรรม เราจะได้รับสิ่งซึ่งมีประโยชน์ที่สุดในชีวิต สิ่งที่มีประโยชน์ในชีวิตเรา ที่ทุกคนใฝ่ฝัน ทุกคนปรารภนา "ทุกคนอยากได้รับ ความสุข" ทุกคนดิ้นรนหาความสุขตลอดเวลา อย่างเรามานั่งทำมาหากินทุกวันๆ เราก็อยากมีเงิน มีตำแหน่ง มีหน้าที่ มีชื่อเสียง เราเห็นว่า ถ้ามีสิ่งเหล่านี้ เราจะมี ความสุข หรือในบางคน อยากใหญ่ อยากโต อยากเป็น นายก อยากเป็น อย่างโน้นอย่างนี้ หวังว่า เป็นแล้ว จะมีความสุข เพราะฉะนั้น สิ่งที่มนุษย์เราแสวงหาตลอดชีวิตนั้น ก็คือ ความสุข แต่ความสุขนี้เป็นเรื่องแปลก เป็นเหมือน เงา วิ่งไล่จับ เงา เหมือน ๆ จะจับได้นะ แต่ก็จับไม่ได้สักที เราสังเกตไหม ในชีวิตเรา... ลองนึกทบทวนไปว่า ช่วงไหนในชีวิต ที่ เรามีความสุขมากที่สุด ?? พอจะนึกออกไหม... ใครมีความสุขตอนเด็ก ๆ บ้าง ตอนเด็กๆ รู้สึกไหม ... ว่าถ้าโตขึ้นจะมีความสุข .. นี่ ... เราเริ่มอาภัพมาตั่งแต่ตรงนี้แล้วนะ ตอนเด็กๆ เราคิดว่า ... ถ้าเราโตขึ้นเราจะมีความสุขใช่ไหม?? พอโตขึ้นมาจริง ๆ เราคิด ... ตอนเด็ก ๆ นี่แหละ เรามีความสุข ทำไมจึงมีความสุข เพราะไม่ต้องรับภาระอะไร ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ทุกวันนี้รับผิดชอบแสนสาหัส รับผิดชอบตนเองคนนึงก็ลำบากแล้ว บางคนก็มีครอบครัว มีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบมากมาย เราอยู่ในโรงพยาบาล เราดูสิ.. คนมีความทุกข์เต็มไปหมดเลย คนที่มา รพ. นี้ ไม่มีใครไม่จนหรอกนะ มีเงินนะ แต่ก็ยังมีความทุกข์ นึกออกไหม .... เห็นคนตายไหม?? รวย .. แค่ไหนก็ ตาย ... ทำไมหล่ะ ... หาความสุขกันตลอดชีวิตเลยนะ หาไปเรื่อย วิ่งไปเรื่อย วิ่งไปเรื่อย วิ่งเท่าไหร่ เท่าไหร่ ก็ไม่มีจุดใด ที่เราจะนึกลงไป.. แล้ว ... มันอิ่มอกอิ่มใจ ว่าตรงนี้แหละ.. คือ ความสุขที่แท้จริงในชีวิต ตอนเด็ก มันก็ไม่เต็มอิ่ม มันก็รู้สึกว่าโตแล้วจะมีความสุข พอโตขึ้นมาจริงๆ ก็รู้สึกว่าตอนเด็กมีความสุข ทั้งๆ ที่ความสุขตอนเด็กๆ นั้น เราเคยตัดสินไปแล้ว .... ว่า " ไม่เต็มอิ่ม... " ทีนี้เราจะทำอย่างไร ให้เราหาความสุขได้ ถ้าคนเรามีความสุขในชีวิตได้จริง ๆ คนไหนที่มีจิตใจ มีความสุขจริง มันจะเต็มอิ่มอยู่ในตัวเอง เพราะความสุขที่เต็มอิ่มอยู่ในตัวเอง ความเมตตากรุณา จะล้นออกไปหาคนอื่น จะอยากให้คนอื่นมีความสุข คนที่ทำร้ายคนอื่น เบียดเบียนคนอื่น เพราะจริงๆ แล้ว ตัวเองนั้นไม่มีความสุข ถ้าเรามีความสุขอยู่ เต็มอิ่มอยู่ด้วยตัวของเราเองได้นะ ความเมตตา กรุณา จะเกิดขึ้น แทนที่จะคิดเบียดเบียนคนอื่น แต่กลับ .. จะเห็นอกเห็นใจคนอื่นนะ เรียกว่า "คนมันเต็ม" เพราะฉะนั้น เรามาฝึกตัวเองให้เป็น "คนเต็มคน" สักที ไม่เช่นนั้นเราก็จะเป็นคนที่ "หิว" ตลอดเวลา "หิวความสุข" นั้นแหละ ดิ้นรนไปเรื่อย ๆ ทำอย่างไรชีวิตเราจึงจะมีความสุข ?? เราต้องรู้ก่อนว่า อะไรทำให้เราไม่มีความสุข สิ่งที่ทำให้เราไม่มีความสุข พระพุทธเจ้า ท่านเรียกว่า ตัว "สมุทัย" คือ เหตุให้เกิดความทุกข์ ในความเป็นจริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากเหตุ ถ้ามีเหตุ มันก็มี... ถ้าไม่มีเหตุ มันก็ไม่มี... ทำยังไงก็ไม่มี ความทุกข์ก็ต้องมีเหตุ ความสุขก็มีเหตุของมัน เหตุที่ทำให้เราไม่มีความสุข เหตุที่ทำให้เราเกิดทุกข์ เค้าเรียกว่าตัวสมุทัย คือ ความอยาก สังเกตุไหม มีความอยากทีไร ก็มีความทุกข์ ทุกที คนในโลก มักมีความคิดว่า ... ถ้าอยาก แล้วสม อยาก จะมีความสุข อยาก แล้วไม่สม อยาก จะมีความทุกข์ รู้สึกอย่างนี้ไหม ?? สมมุติว่าอยากได้ Iphone 4 (ไอโฟน) พอได้มาก็มีความสุขประเดี๋ยวเดียวนะ บางคนมีความสุขแค่แป๊ปเดียว เอามาถึงโรงพยาบาล มาอวดเพื่อน ส่วนเพื่อนก็งัด Iphone 4 ของเขา เอามาให้เราดูบ้าง ความสุขของเราก็หายไปเยอะแล้ว เพราะเขามีเหมือนเรา ไม่เด่นกว่าเขา แถมเขาซื้อมาได้ถูกกว่าเรา 50 บาทด้วย เรากลับมี "ความทุกข์" เยอะเลย ความอยากเกิดขึ้นทีไร ควาทุกข์เกิดขึ้นทุกที ความอยากเป็นอนัตตา ห้ามไม่ได้หรอก เพราะอย่างนั้น อยู่ๆ เราจะไปบอก ใจ บอกว่า อย่าอยาก อย่าอยาก อย่าอยาก ใจจะไม่ฟัง ใจอยาก ใครจะห้ามได้ แต่พออยากแล้ว เราก็ดิ้นรน ... เหน็ดเหนื่อยมาก ในการสนองความอยาก ในแต่ละเรื่อง เมื่อความอยากอันนี้จบลงไป ความอยากอันใหม่ก็เกิดขึ้นทันทีเลย สมมุติว่าเรากลุ้มใจ เราอยากจะไปเที่ยว ไป ดูหนัง ฟังเพลง เสร็จแล้ว ก็มีความสุขตอนนั้นแปล๊บๆ นะ เดี๋ยว อยาก ต่อ ล่ะ ดูหนังเบื่อแล้ว หิวแล้ว เกิดอาการ อยากกิน ต่อ ... ก็ไปหาของอร่อยกิน ... มีลูกศิษย์หลวงพ่ออยู่คนหนึ่งนะ เค้าฐานะดีพอสมควร วันหนึ่งอยากกินขนมตาล เที่ยวหาขนมตาลกิน สงสัยไม่เคยทำบุญ เอาขนมตาลมาใส่บาตร วันที่ไม่ได้อยากกินนะ เจอเต็มไปหมดเลย วันที่อยากกิน อุตสาห์วิ่งไปถึงแถววัดไร่ขิง ไปดูตามตลาดน้ำ ก็หาไม่ได้นะ เมื่อใจมีความต้องการ มีความอยากขึ้นมา เราก็จะดิ้นไป พยายามสนองความอยาก ต้องสนองไปเท่าไหร่ ?? สมมุติว่า ถ้าสนองความอยากได้ ก็ได้ความสุขมา..แปล๊บ..หนึ่ง.. ก็เกิด "ความอยาก" ตัวใหม่ขึ้นอีก ... ถ้าสนองไม่ได้ กลับมีความทุกข์เยอะเลย รู้สึกไหม ?? สังเกตุไหม ในชีวิตเรา ความทุกข์ที่ร้ายแรงที่เกิดขึ้นมา มันเกิดจากเรา " ไม่ สม อยาก " อย่างเช่น มีแฟนอยู่ แล้วแฟนเราเปลี่ยนใจ ไม่รักเราแล้ว ไปจีบคนอื่น ไปชอบคนอื่น เราอยากให้เค้ารักเรา แล้วเขาไม่รัก ทุกข์ไหม ?? จะทุกข์ทันทีเลย รวย ... แค่ไหนก็ทุกข์นะ ใหญ่ ... แค่ไหนก็ทุกข์นะ ถ้าใจมันมี "ความอยาก" ขึ้นมา อันนี้เป็นความทุกข์ทางจิตใจนะ ความทุกข์ทางร่างกาย เช่น เดินหกล้ม แข้ง ขา เคล็ด เป็นเรื่องปกติ ความทุกข์ทางร่างกาย ต้องให้หมอรักษา แต่ความทุกข์ทางใจ ต้องดูแลใจของเราเอง ทุกคนรักตัวเอง ทุกคนอยากให้ตัวเองมีความสุข แต่ทุกคนละเลยตัวเอง ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ กับจิตใจของเราเอง เราอยากให้คนอื่นรู้ใจเรา แต่เราไม่เคยรู้ใจตัวเอง เพราะฉะนั้น เราควรมาหัดพัฒนาใจของเรา ให้ใจมีความเต็มอิ่ม อยู่ในตัวเอง เมื่อ ความอยาก อะไร เกิดขึ้น แทนที่จะต้องวิ่งสนองมันไปเรื่อย ๆ หรือ ยิ่งห้ามมัน ... บางคนต่อต้าน ความอยาก แล้วคิดว่าจะพ้นทุกข์ นะ เจ้าชายสิทธัตถะ เป็นเจ้าชายที่มีความเป็นอยู่ที่ดี ต้องการอะไรก็ได้ ในทางวัตถุ ทางโลกนะ ได้ทุกอย่างได้ทั้งหมด สนองความอยากเยอะแยะ แต่ก็ ไม่เต็มอิ่ม ขนาดเป็นเจ้าชายนะ เจ้าชายเป็นลูกชายคนเดียวด้วย พ่อ-แม่ มักจะเอาใจมาก ... ถึงขนาดนั้นท่านยังรู้สึกว่าไม่เต็มอิ่ม ไม่มีความสุขจริง ความสุขอย่างที่เราหลงตามโลกนั้น ไม่มีความสุขจริง ถ้ามีความอยาก แล้วสนองความอยากไปเรื่อยๆ นั่นไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง ... เมื่อมี ความอยาก เกิดขึ้นมา ถ้าสนอง "ความอยาก ได้" ก็ได้ความสุขมา..นิดหนึ่ง.. ถ้าสนอง "ความอยาก ไม่ได้" กลับได้ความทุกข์เยอะเลย ถ้าไปปฏิเสธ ความอยาก ก็มีความทุกข์ พวกฤาษี ฯลฯ ที่ทรมานตัวเอง อยากกิน ไม่กิน อยากนอน ไม่นอน อยากสบาย ก็ทรมานร่างกายตัวเอง หวังว่า ฝืนความต้องการ ฝืนตัณหา แล้วจะมีความสุข แต่ก็ไม่ได้มีความสุข พระพุทธเจ้าจึงสอนทางสายกลาง ที่เราจะเข้าถึงความสุขได้ง่ายๆ คือ ไม่ต่อต้าน ความอยาก และ ไม่หลง ตาม ความอยาก ความอยากอะไรเกิดขึ้นในใจเรา เราควรรู้บ่อยๆ ความอยากเกิดขึ้นได้ทั้งวัน ความอยากเกิดได้ 6 ช่องทาง อยากดู อยากฟัง อยากได้กลิ่น อยากได้รส อยากกระทบ สัมผัส ทางร่างกาย อยากได้อารมณ์ทางใจ ที่ดี อยากพ้นจากอารมณ์ทางใจ ที่ไม่ดี เป็นเรื่องทางใจ อยากเห็นรูปสวย อยากจะไม่เห็นของที่ไม่สวย บางคนก็อยากเห็นของสวยนะ แต่เจอของไม่สวย ก็อยากดู เวลารถชนกัน เราอยากดูไหม ?? - อยากดู ว่าจะเละแค่ไหน ทั้งๆ ที่อยากดูของสวยนะ แต่ของน่ากลัวก็อยากดูเหมือนกัน แปลกดี วิธีปฏิบัตินั้น ไม่ต้องทำอะไรมาก ... อย่า... ไปตามใจ กิเลส มากเกินไป ความอยากอะไรเกิดขึ้นเราต้องใช้เหตุผล ว่าสมควรไหม ?? เช่น หิว อยากกินข้าว ก็ควรกินข้าว ง่วง แล้วอยากจะนอน ก็ควรนอน ไม่ใช่ว่า ง่วงแล้ว ต้องไม่นอน หิวแล้วต้องไม่กิน ไม่ใช่ !!! อันนั้น..ไม่ใช่ศาสนาพุทธ อันนั้น .... สุดโต่งไปข้างทรมานตัวเองมากเกินไป ความอยากใด สมเหตุ สมผล มีความจำเป็น เราก็ทำ ความอยากอะไรที่ไม่จำเป็น เราอย่าไปเชื่อให้ชีวิตถูกหลอก ให้ทำงานเหนื่อยยากเกินความเป็นจริง ---------------------------------------------- พระธรรมเทศนา โดยพระอาจารย์ชยสาโร เรื่อง ปัจจุบันคือห้องเรียน วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ในการปฏิบัติธรรมบ้านบุญ ปี ๒๕๕๖ ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ณ บ้านบุญ ปากช่อง นครราชสีมา |
|