ยินดีต้อนรับ กรุณา สมัครสมาชิก หรือเข้าสู่ระบบ

Home » webboard » หุ้น
เข้าชม : 600

บทวิเคราะห์ หุ้น MINT ปี 2557 ไตรมาส 1

โพสต์เมื่อ: วันอาทิตย์ 25 พฤษภาคม 2557  12:07 น.


บทวิเคราะห์ หุ้น MINT ปี 2557 ไตรมาส 1

งบกำไรขาดทุน
1. ยอดขาย ถึง ไตรมาสที่ 1
รายได้จากการขาย ขายได้ 9981.34 ล้าน
ถ้าคิดทั้งปี ก็ประมาณ 39925.36 ล้าน เปรียบเทียบกับทรัพย์สินที่มีอยู่ 66081.54 ล้าน
ยอดขายเป็น 0.6 เท่า ของสินทรัพย์ (โดยทั่วไปถ้ายอดขายต่อปี มากกว่า 1 เท่าของสินทรัพย์ของบริษัท ถือว่าค่อนข้างใช้ได้)

2. รายได้อื่นๆ 373.78 ล้าน เท่ากับประมาณ 3.52 % ของยอดขายรวม

3. รายได้ทั้งหมด 10630.08 ล้าน หัก ต้นทุนขาย 4047.80 ล้าน เท่ากับกำไรขั้นต้นประมาณ 6582.28 ล้าน 
หรือมี margin ส่วนต่างกำไรประมาณ 61.92 % (ถ้าได้มากกว่า 20 % ขึ้นไปถือว่าค่อนข้างใช้ได้-ดี )

4. ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร เท่ากับ 4667.39 ล้าน เทียบกับยอดขาย 9981.34 ล้าน ประมาณ 46.76 % 
เมื่อเปรียบเทียบกับกำไรขั้นต้น 6582.28 ล้าน ประมาณ 70.91 % (ถ้าเท่ากับประมาณ 18% ถือว่าอยู่เกณฑ์ปกติ ควรต่ำกว่า 18% จะอยู่ในเกณฑ์ดี)

5. ค่าตอบแทนกรรมการและผู้บริหาร 1324.70 ล้าน เทียบกับยอดขาย 9981.34 ล้าน ประมาณ 13.27 %
เทียบกับกำไรขั้นต้น 6582.28 ล้าน ประมาณ 20.13 %

6. กำไร (ขาดทุน) ก่อนต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ 1914.89 ล้าน
เป็นต้นทุนการเงิน (ดอกเบี้ยจ่าย) 242.78 ล้าน คิดเป็น 12.68 % ของกำไรก่อนต้นทุนทางการเงิน 
เสียภาษีเงินได้ 212.40 ล้าน คิดเป็น 11.09 % ของกำไรก่อนต้นทุนทางการเงิน

7. กำไรสุทธิถึง ไตรมาสที่ 1 เท่ากับ 1459.72 ล้าน เมื่อเปรียบเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้น 28624.20 ล้าน คิดเป็น 5.1 %
ถ้าคิดทั้งปีก็ประมาณ 20.4 %

8. กำไรต่อหุ้น 0.35 บาท ต่อ 1 ไตรมาส 
ถ้าคิดทั้งปีจะมีกำไรต่อหุ้น 1.4
เมื่อดูราคาขณะนี้ ราคา 25.50 ต่อหุ้น
ถ้ารายได้สม่ำเสมอตามนี้ จำนวนปีที่จะคืนทุนคือ 18.21 ปี
*** มีการใช้สิทธิ์ซื้อขายหุ้นวอแรนต์ อยู่เรื่อย ๆ MINT-W (ESOP)
      ราคาใช้สิทธิ์แปลงเป็นหุ้นแม่ที่ 7.34 บาท
*** ค่า P/E เหมาะสำหรับใช้คำนวนในบริษัทที่มีกำไรสม่ำเสมอเท่านั้น
*** ในกรณีที่หุ้นมีการ เพิ่มทุน ลดทุน แตกพาร์ ลดพาร์ รวมพาร์ จะทำให้การค่า P/E คลาดเคลื่อนได้
 
งบดุล
1. เงินสดและเงินลงทุนระยะสั้น มีจำนวน 7685.53 ล้าน
เฉพาะเงินสดมี 5383.42 ล้าน 
** เปรียบเทียบเพื่อดูสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทว่ามีเงินสดมากเท่าใด

2. ลูกหนี้การค้ามีจำนวน 3248.88 ล้าน เปรียบเทียบกับยอดขาย 9981.34 ล้าน ต่อ 1 ไตรมาส
หรือเป็นยอดขาย 3327.11 ล้าน ต่อเดือน จะเห็นได้ว่า บริษัทให้เครดิตลูกค้าประมาณ 29 วัน

3. สินค้าคงคลัง หรือสต็อกวัตถุดิบมีจำนวน 2864.47 ล้าน
ในขณะที่ช่วงถึง ไตรมาสที่ 1 บริษัท ขายสินค้าไปตามราคาทุน 4047.80 ล้าน
หรือประมาณเดือนละ 1349.27 ล้าน เท่ากับว่า บริษัทมีสต็อก วัตถุดิบและสินค้า ที่จะเตรียมส่งขาย
ประมาณ 63 วัน 

4. บริษัทมีสินทรัพย์ เป็น ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์(โรงงาน) 22883.68 ล้าน เปรียบเทียบกับยอดขายต่อปี 39925.36 ล้าน
** เปรียบเทียบเพื่อดูว่า ถ้าหากบริษัทต้องการขยายกิจการเพื่อเพิ่มยอดขาย ต้องใช้เงินมากเพียงใด มีเหตุจำเป็นทำให้ต้องเรียกเพิ่มทุนหรือไม่

5. สภาพคล่อง โดยคิด อัตราส่วนสินทรัพย์หมุนเวียนต่อหนี้สินหมุนเวียน (คิดลูกหนี้การค้าแค่ 85% เผื่อในกรณีหนี้เสียที่ตามเก็บไม่ได้)
มีค่าเท่ากับ 1.38 เท่า (โดยทั่วไปแล้ว ถ้ามีอัตราส่วนนี้อยู่ระหว่าง 1.5-2.5 เท่า ก็จะดี)

6. หาค่าหุ้น ก้นบุหรี่ หรือหุ้นแบกับดิน โดยการเอา สินทรัพย์หมุนเวียน หักด้วยหนี้สินทั้งหมด นั่นคือ
(14162.07)-(37457.34) = (-23295.27)
ถ้าค่าเป็นบวก นั่นคือ เฉพาะ สินทรัพย์หมุนเวียน เพียงอย่างเดียวก็สามารถชำระหนี้ทั้งหมดได้ จัดว่าเป็นบริษัทที่มีความมั่นคงสูงมาก
เมื่อนำ -23295.27 หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดก็ คือ -23295.27 ล้าน ÷ 4001 ล้าน = -5.82 บาทต่อหุ้น
กล่าวคือ ถ้านักลงทุน ลงทุนกิจการนี้ที่ -5.82 บาทต่อหุ้น โอกาสที่นักลงทุนจะขาดทุนกับหุ้นตัวนี้นั้นต่ำมาก แทบจะไม่มีข้อเสีย เหมือนได้หุ้นฟรี 
*** ถ้าผลลัพท์เป็น + จึงจะถึอว่าเป็นหุ้นก้นบุหรี ถ้าผลลัพท์เป็น - แสดงว่าไม่ใช่หุ้นก้นบุหรี่ 

7. คิด มาร์จินออฟเซฟตี้ แบบ เบนจามินเกรแฮม
โดยการเอา สินทรัพย์หมุนเวียน(สินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้เร็วสุด) หักด้วยหนี้สินทั้งหมด นั่นคือ
(14162.07)-(37457.34) = (-23295.27)

เหลือเท่าไหร่ หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมด คือ -23295.27 ล้าน ÷ 4001 ล้าน = -5.82 บาทต่อหุ้น
เสร็จแล้ว เอา 2/3 คูณ จะได้สูตรมาร์จินออฟเซฟตี้ของเบนจามินเท่ากับ -3.88 ถ้าราคาตลาดต่ำกว่า -3.88 ถือว่า เป็นหุ้น โครตถูก (ราคาตลาดตอนนี้ 25.50 )

*** ถ้าผลลัพท์เป็นบวกแสดงว่ามีเงินสดเหลืออยู่มากเกินกว่าราคาหุ้นที่เราซื้อถือว่าราคาหุ้นมีความปลอดภัยสูง ผลลัพท์ที่ได้ต้องเป็นบวกเท่านั้น ถ้าเป็นลบแสดงว่าไม่ใช่
 
หนี้สินของบริษัท
1. เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงิน มีจำนวน 412.25 ล้าน
เทียบกับยอดขาย 39925.36 ล้าน ต่อปี

2. เจ้าหนี้การค้าและเจ้าหนี้อื่น ซึ่งเป็นผู้ขายสินค้าและวัตถุดิบให้บริษัทมีจำนวน 5095.17 ล้าน
** เจ้าหนี้การค้าคือผู้ขายสินค้าและวัตถุดิบให้บริษัท 

3. หนี้สินหมุนเวียนอื่นๆ 1374.01 เทียบกับหนี้สินหมุนเวียนทั้งหมด 10284.23

4. หนี้สินระยะยาว 23664.43 ล้าน แสดงถึงการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินว่ามากน้อยขนาดไหน
** บ่งบอกถึงโครงสร้างทางการเงินของบริษัทว่าอ่อนแอหรือไม่

5. โครงสร้างทางการเงินของบริษัท

มีหนี้ทั้งหมด 37457.34

แต่มีส่วนของผู้ถือหุ้นรวมกัน 28624.20 

หรือมีหนี้ทั้งหมด 56.68 % ของสินทรัพย์ทั้งหมด

(ซึ่งบริษัทโดยทั่วไปมักมีหนี้มากกว่า 50% ของสินทรัพย์)

บริษัทมีทุนจดทะเบียน 4018.33 ล้าน เมื่อรวมกำไรสะสม จำนวน 15384.23 ล้าน

ทำให้มีจำนวนส่วนของผู้ถือหุ้นทั้งหมดประมาณ 28624.20 ล้าน

ข้อที่น่าสังเกตุก็คือ ส่วนของผู้ถือหุ้น มาจากกำไรแต่ละปีหลังหักเงินปันผลแล้ว ทบเข้ามาเพิ่มเรื่อยๆ หากบริษัทใดมีกำไรสะสมเยอะๆนั้น ถือเป็นกิจการที่ล้มยาก




คุณต้องสมัครสมาชิก ถึงจะโพสกระทู้ได้

ปิดรับสมัครสมาชิกแล้ว