โบรกฯ ส่อง 4 หุ้นค้าปลีก รับผลกระทบขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมากสุด เริ่ม 1 ม.ค. 2563 |
โพสต์เมื่อ: วันอังคาร 17 ธันวาคม 2562 13:47 น.
โบรกฯ ส่อง 4 หุ้นค้าปลีก รับผลกระทบขึ้นค่าแรงมากสุด
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -9 ธ.ค. 62 10:07 น. บล.เอเซียพลัส เผยขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 1.6% กระทบหุ้นกลุ่มค้าปลีกอย่าง CPALL ,BJC, MAKRO ,ROBINS อาจจะกระทบมากสุด เพราะมีค่าใช้จ่ายพนักงาน 30% ส่วนรับเหมาฯ - ยานยนต์ - อิเล็กฯ - เกษตร คาดรับผลกระทบจำกัด จากเดิมที่ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินผลกระทบการปรับเพิ่มค่าแรงขั่นต่ำจากที่พรรคการเมืองเคยหาเสียงไว้ มีรายละเอียดกระทบรายอุตสาหกรรมดังนี้ กลุ่มค้าปลีก พบว่า โดยเฉลี่ยอุตสาหรรมมีค่าใช้จ่ายพนักงานราว 30% ของ SG&A และ 6% ของยอดขายรวม โดยประเมินหากมีการปรับขึ้นค่าแรงจะกระทบต่อกลุ่มที่มีการใช้แรงงานทักษะทั่วไปสูง อาทิ กลุ่มร้านสะดวกซื้อ (CPALL), ไฮเปอร์มาร์เก็ตและค้าส่งเช่น (BJC, MAKRO) และห้างสรรพสินค้า (ROBINS) ขณะที่กลุ่มร้านค้า Specialty Store (HMPRO, COM7 และ BEAUTY) คาดกระทบจำกัด เนื่องจากเน้นไปที่กลุ่มพนักงานที่ต้องมีทักษะการขายสูงกว่า ทำให้มีโครงสร้างค่าแรงที่สูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้ว และมีรายได้จากค่าคอมมิชชั่น อย่างไรก็ตาม จากสถิติในอดีตช่วงที่มีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ (เม.ย. 55 และ ม.ค.56) พบว่าแนวโน้มการเติบโตของ SSSG จะปรับตัวดีขึ้น โดย กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดยเฉลี่ยค่าแรงคิดเป็นสัดส่วนรวม 10-15% ของต้นทุนก่อสร้าง แต่การปรับขึ้นค่าแรงเพียง 1.6% น่าจะทำให้แรงกดดันที่จะมีต่อ Net Profit margin ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 2-6% ผ่อนคลายลง นอกจากนี้ในปัจจุบันบริษัทรับเหมาฯ มีการปรับวิธีการทำงานด้วยการนำเครื่องจักรมาใช้ ลดการใช้แรงงานคน และใช้วิธี Sub contract งานเป็นส่วนๆออกไปให้กับผู้รับเหมาช่วง และในทางปฏิบัติหากมีการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เชื่อว่าบริษัทรับเหมาก่อสร้าง และบริษัทที่รับเหมาช่วงจะแบ่งรับภาระค่าแรงที่เพิ่มขึ้นไปคนละส่วน และบริษัทรับเหมางานภาครัฐจะมีเงินชดเชย จากค่า K ซึ่งมีเงินเฟ้อเป็นองค์ประกอบในการคำนวณ โดยเชื่อว่างานประมูลภาครัฐจำนวนมากที่กำลังจะออกมา น่าจะทำให้การแข่งขันในอุตสาหกรรมก่อสร้างลดลง ส่งผลต่ออัตรากำไรของงานก่อสร้างใหม่ๆในอนาคตที่จะดีขึ้น เมื่อถัวเฉลี่ยกับงานใน Backlog เดิมที่จะถูกกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรง กลุ่มยานยนต์ มีค่าใช้จ่ายแรงงานทางตรงราว 5-10% ของยอดขาย เชื่อว่าการปรับขึ้นค่าแรงที่น้อยกว่าคาดก็น่าจะช่วยลดแรงกดดันได้เช่นกัน กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ปัจจุบันมีค่าใช้จ่ายแรงงานในประเทศ สัดส่วนราว 5-8% ของต้นทุนรวม (บางบริษัทมีแรงงานอยู่ต่างประเทศ อาทิ DELTA - HANA ราว 2% ของต้นทุนรวม) กลุ่มเกษตร-อาหาร มีค่าใช้จ่ายแรงงานในประเทศ ราว 1.5-8% ของต้นทุนรวม |
|