ยินดีต้อนรับ กรุณา สมัครสมาชิก หรือเข้าสู่ระบบ

Home » หุ้น CBG
เข้าชม : 241

ผู้ถือหุ้นใหญ่ ขาย Big Lot 22.5 ล้านหุ้น นำเงินลงทุน คาราบาวแดง ในจีน ที่คำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น 26 พ.ค. 63

โพสต์เมื่อ: วันพฤหัสบดี 18 มิถุนายน 2563  14:53 น.
CBG เผยประธานบอร์ดขายหุ้น 22.5 ล้านหุ้น ระดมเงินใช้ร่วมทุนบริษัทในจีน
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -27 พ.ค. 63 8:43: น.

 

CBG เผยประธานบอร์ด ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ขายหุ้นจำนวน 22.50 ล้านหุ้น คิดเป็น ร้อยละ 2.25% ให้พันธมิตรนำเงินใช้เป็นแหล่งทุนประกอบธุรกิจบริษัทร่วมทุนในจีน พร้อมยืนยันยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญและร่วมบริหารกิจการต่อไป

  บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จากัด (มหาชน) หรือ CBG แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า นายเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานกรรมการและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ทำรายการขายหุ้นบิ๊กล็อต จานวน 22,500,000 หุ้น (เทียบเท่าประมาณร้อยละ 2.25 ของทุนจดทะเบียนที่ออกและชำระแล้ว ให้แก่กลุ่มนักลงทุนในประเทศ และ/หรือต่างประเทศเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2563 ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมเมื่อนับรวมกันแล้วลดลงจากร้อยละ 34.37 มาอยู่ที่ร้อยละ 32.12 ทั้

  การขายหุ้นดังกล่าว เพื่อนำเงินจากการขายส่วนใหญ่ใช้เป็นแหล่งทุนสนับสนุนการประกอบธุรกิจในประเทศจีนผ่านบริษัทร่วมทุน และในขณะเดียวกันก่อให้เกิดผลประโยชน์ในด้านการต่อยอดอัตราการเติบโตของบริษัทฯ ในระยะยาว โดย ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ยังได้แสดงเจตนารมณ์ว่าจะคงไว้ซึ่งสัดส่วนการถือหุ้นในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ รวมถึงบทบาท หน้าที่และความรับผิดชอบในฝ่ายจัดการที่ดีของบริษัทฯ ต่อไป

  อนึ่ง บริษัทร่วมทุนในประเทศจีนดำเนินกิจการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบัน โดยเป็นการร่วมทุนส่วนบุคคลระหว่างกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ และพันธมิตรทางธุรกิจสัญชาติจีน เพื่อประกอบธุรกิจการตลาด ขายและจัดจาหน่ายเครื่องดื่มบำรุงกาลังและเครื่องดื่มอื่นภายใต้เครื่องหมายการค้าคาราบาวในประเทศจีนและตลาดอื่นที่กำหนดภายใต้เงื่อนไขสำคัญของเอกสารสัญญาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

-----------------------------

CBG ราคาแพง...แสลงใจกว่าเจ้าของขายหุ้น!
28 พฤษภาคม 2563 
การขายหุ้น CBG ของผู้ถือหุ้นใหญ่ "เสถียร เศรษฐสิทธิ์"ออกมาครั้งแรก ทำให้นักลงทุนตกใจขายหุ้นจนดิ่งหนักสวนตลาด เพียงแต่ว่าการขายหุ้นของ CBG ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะนอกจากสัดส่วนที่่ขายจะต่ำมากแล้ว ยังนำเงินจำนวนนี้ไปลงทุนกับบริษัทจัดจำหน่าย"คาราบาวแดง"ในจีน ซึ่งเป็นตลาดที่มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นหลังฟื้นตัวจากโควิด-19 แต่สิ่งที่น่ากังวลก็คือ ราคาหุ้นที่แม้จะปรับลงมาแล้วก็ถือว่ายังสูงมากอยู่ดี!
*** "เสถียร เศรษฐสิทธิ์" ขายหุ้น CBG ครั้งแรกตั้งแต่เข้าตลาดปี 57


ราคาหุ้นของ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG วันทำการล่าสุด(27พ.ค.63) เปิดดิ่งหนักสวนตลาดในทันที โดยที่ระหว่างวันลงไปทำจุดต่ำสุดถึง 95 บาท ก่อนที่จะมาปิดตลาดไปที่ 95.50 บาท ลดลง 4.50 บาท หรือ -4.50% ปริมาณหุ้นที่ซื้อขายเพิ่มขึ้นถึง 343.65% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 5 วันทำการก่อนหน้า


สาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนี้ ก็คือ การขายหุ้นรายการใหญ่(Big Lot)ของ นายเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ CBG ออกมา 2.25% หรือจำนวน 22.5 ล้านหุ้นให้แก่กลุ่มนักลงทุนในประเทศ และ/หรือต่างประเทศ ด้วยราคาขาย 95 บาท ต่ำกว่าราคาปิดทำการวันก่อนหน้า ทำให้สัดส่วนถือหุ้นรวมทั้งทางตรงและทางอ้อมลดลงจาก 34.37% มาอยู่ที่ 32.12%


สิ่งที่ทำให้นักลงทุนไม่พอใจนัก นอกจากราคาขายที่ต่ำกว่าตลาดแล้ว นี่คือ การขายหุ้นออกมาครั้งแรกของ "เสถียร เศรษฐสิทธิ์" นับตั้งแต่ CBG เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ(SET)เมื่อปี 2557 อีกด้วย  และอย่างที่ทราบกันดีว่า การขายหุ้นของผู้บริหารของบริษัทอื่นๆ ในตลาดหุ้นไทย ส่วนใหญ่มักจะจบไม่สวยนักในภายหลัง


แต่กรณี CBG ไม่ได้น่ากังวลอย่างที่คิด!


*** นำเงินลงทุนบริษัทจัดจำหน่าย "คาราบาวแดง"ในจีน ที่คำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น


มีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้นที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ขาย Big Lot แล้วแสดงเจตจำนงว่าจะนำเงินไปใช้ในด้านใด ซึ่ง CBG เป็นเช่นนั้น ! 


เพราะบริษัทชี้แจงว่า "เสถียร เศรษฐสิทธิ์" จะนำเงินจากการขายหุ้น "ส่วนใหญ่" ไปใช้เป็นเงินทุนสำหรับประกอบธุรกิจร่วมทุนในประเทศจีนที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจการตลาด ขาย และจัดจำหน่ายเครื่องดื่มบำรุงกำลังและเครื่องดื่มอื่นภายใต้เครื่องหมายการค้าคาราบาวในประเทศจีน


ซึ่งก็สอดคล้องกับแผนการขยายตลาดในประเทศจีนของ CBG โดยที่ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เคทีบี คาดรายได้จากประเทศจีนปีนี้จะเติบโตถึง 20 - 50% หลังจีนกลับมาเปิดประเทศ


สรุปแล้วการขายหุ้นในครั้งนี้ ก็คือการนำเงินส่วนตัวเข้าไปลงทุนบริษัทในจีน ซึ่งจะส่งผลให้ CBG ได้ประโยชน์เกี่ยวเนื่องทางธุรกิจไปด้วยเช่นกัน


*** ผลประกอบการปีนี้แทบไม่ได้รับผลกระทบโควิด-19


จบเรื่องการขายหุ้นของผู้บริหารไปแล้ว มาต่อกันที่พื้นฐานธุรกิจบ้าง อย่างที่นักลงทุนทราบกันก็คือ งบไตรมาส 1/63 ของ CBG ไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เลย เพราะกำไรสุทธิเติบโตไปได้ถึง 106.5% YoY แตะ 800.94 ล้านบาท สาเหตุก็คือยอดขายรวมที่เพิ่มขึ้นจากต่างประเทศ โดยเฉพาะกัมพูชาและเมียนมาที่ทำจุดสูงสุดใหม่ ประกอบกับต้นทุนกระป๋องและหีบห่อลดลงทำให้อัตรากำไรขั้นต้น(Gross Profit Margin)ทำจุดสูงสุดที่ 42.4%


ส่วนแนวโน้มไตรมาส 2/63 บล.หยวนต้า ระบุว่าเบื้องต้นจะทำได้ราวๆ 750 ล้านบาท โต 50% จากช่วงเดียวกันปีก่อนแม้ว่ารายได้เครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศอาจได้รับผลกระทบ QoQ จากมาตรการปิดเมือง(ล็อกดาวน์) แต่การส่งออกยังเติบโตได้ 5-8% QoQ โดยตลาดเมียนมายังเติบโตจากปี 2562 ยอดขายราว 4 แสนลัง/เดือน ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านลัง/เดือน ส่วนจีนบริษัทเริ่มเห็นคำสั่งซื้อที่ทยอยเพิ่มขึ้นหลังกลับมาเปิดประเทศ


นอกจากนี้เป็นไตรมาสแรกที่มีรายได้ของ C+Lock เข้ามาเต็มไตรมาส ซึ่งมีราคาขายปลีกขวดละ 15 บาทสูงกว่าคาราวบางแดงที่ 10 บาท ทำให้เมื่อรวมกับการเติบโตในต่างประเทศแล้วอาจชดเชยยอดขายเครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศที่ชะลอได้ นอกจากนี้ C+Lock ยังเป็นสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า  คาราบาวแดงถึง 1.8 เท่า และบริษัทจะลดค่าใช้จ่ายทางการตลาดลง QoQ ทำให้มีโอกาสที่กำไรไตรมาส 2/63 อาจดีกว่าไตรมาส 1/63 ได้เช่นกัน ซึ่งจะเป็น Positive surprise


ทั้งนี้ได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 63 เพิ่มขึ้นจากเดิม 5.6% มาเป็น 3,356 ล้านบาท (+39.9% YoY) จากการปรับประมาณการยอดขายของ C+Lock ขึ้นจากเดิม 10 ล้านขวดเป็น 110 ล้านขวด (หากส่งออกได้จะเป็น Upside ต่อประมาณการ) และมีแผนจะออกสินค้าใหม่ในกลุ่ม Functional drinks ช่วงปลายปี และปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 118 บาท เทียบเท่า PER2563 ที่ 35.3 เท่า แนะนำ "ซื้อ"

ส่วนนักวิเคราะห์รายอื่นๆ ประเมินกำไรสุทธิไว้ดังนี้ 

บล. กำไรสุทธิ(ลบ.) เปลี่ยนแปลง(YoY)
เคทีบี 3,110 +24%
เอเอสแอล 3,200 +27%
บัวหลวง 3,385 +35%
หยวนต้า 3,356 +34%
ทิสโก้ 3,558 +42%


*** สิ่งที่น่ากังวลก็คือ ราคาหุ้นแม้จะดิ่งมาขนาดนี้ ก็ยังแพง!


การขายหุ้นของผู้บริหารไม่น่ากังวล ขณะที่ผลประกอบการปี 63 ก็ยังโตแรง สิ่งที่น่ากังวลเพียงอย่างเดียวสำหรับ CBG ก็คือราคาหุ้นที่แม้จะปรับลงมาแรงแล้ว ก็ยังถือว่าแพงอยู่ดี เพราะมีอัพไซด์จากราคาเหมาะสมอีกไม่มากนัก แม้หากเทียบ P/E กับค่าเฉลี่ยย้อนหลังจะถือว่ายังต่ำอยู่ก็ตาม


ราคาเหมาะสม CBG ของนักวิเคราะห์แต่ละรายเป็นดังนี้

 

บล. คำแนะนำ ราคาเหมาะสม
โนมูระ พัฒนสิน ถือ 80
ธนชาต ซื้อ 96
เอเชีย เวลท์ ซื้อ 105
ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 107
ทิสโก้ ซื้อ 107
บัวหลวง ซื้อ 109
คันทรี่ กรุ๊ป ซื้อ 110
ซีจีเอส ซีไอเอ็มบี ซื้อ 111
เคทีบี ซื้อ 118
หยวนต้า ซื้อ 118


ทั้งนี้จากการสำรวจข้อมูลในฟังก์ชั่น P/E & P/BV Zone Analysis ของโปรแกรม efin Stock Pick Up พบว่า CBG มีค่า P/E ที่นิยมซื้อขายเฉลี่ยในช่วง 6 ปี ย้อนหลังอยู่ที่ 38 - 52 เท่า ขณะที่ P/E ปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ 33 เท่า แต่หากเทียบ P/BV ในช่วงเวลาเดียวกันซื้อขายอยู่ที่ 6 - 10.50 เท่า ซึ่งปัจจุบันแซงหน้าไปแล้วที่ 11.66 เท่า


นักลงทุนน่าจะวางใจได้ระดับหนึ่งเพราะการขายหุ้นของผู้บริหารครั้งนี้ ส่วนใหญ่นำไปลงทุนต่อยอดในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ CBG แตกต่างจากการนำเงินออกไปใช้เรื่องส่วนตัวโดยไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทเหมือนหุ้นอื่น ๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งการขยายตลาดจีนก็ถือว่าน่าติดตามมาก เพราะหากเติบโตได้อย่างเมียนมาและกัมพูชา ก็อาจทำให้ราคาหุ้นตอนนี้ไม่แพงเลย!


s


คุณต้องสมัครสมาชิก ถึงจะโพสกระทู้ได้

สมัครสมาชิก เข้าสู่ระบบ