6 ตุลาคม 2563 | 13:46
วันนี้ราคาหุ้นกลุ่มเครื่องสำอางอย่าง BEAUTY-DDD ร่วงสวนทันทีในวันที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น สะท้อนชัดเจนว่านักลงทุนที่เข้าเก็งกำไรไปก่อนหน้า หันไปเข้าหุ้นตัวอื่นที่กำลังมีแนวโน้มปรับขึ้น แต่ที่น่าสนใจก็คือ KAMART ยังบวกแรงต่อได้เป็นวันที่สอง! ทำไม KAMART ถึงยังผงาดต่อได้อีก ? ในวันที่เพื่อนหมดรอบเก็งกำไรไปแล้ว ต้องติดตาม....
*** KAMART ทำนิวไฮรอบ 8 เดือน ในวันที่เพื่อนโรยรา
ราคาหุ้น บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ KAMART เปิดตลาดบวกแรงต่อจากวานนี้ ขึ้นไปทำจุดสูงสุดช่วงการซื้อขายรอบเช้าถึง 3.78 บาท การปรับตัวขึ้นแรงในวันนี้นอกจากจะทำให้ราคาหุ้นแตะนิวไฮรอบ 8 เดือนหรือปรับขึ้นไปสู่ระดับก่อนโควิด-19 ระบาดแล้วยังเป็นการปรับตัวขึ้นสวนทางกับหุ้นในกลุ่มเครื่องสำอางอย่าง BEAUTY และ DDD ที่ปรับตัวลดลงแสดงถึงอาการเริ่มหมดรอบเก็งกำไร และนักลงทุนหันไปย้ายเข้าลงทุนตัวอื่นอย่างชัดเจน
แม้การปิดตลาดในช่วงเช้าวันนี้ราคาหุ้น KAMART จะแผ่วลงมาบ้างโดยปิดตลาดไปที่ 3.64 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ +2.82% ปริมาณหุ้นที่ซื้อขายเพิ่มขึ้น 132.53% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 5 วันทำการก่อนหน้า
แต่ราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมาแรง และสวนทางหุ้นในกลุ่มจนกลับสู่ระดับก่อนโควิด-19 ได้เช่นนี้ ย่อมต้องมีเบื้องหลังแน่นอน...
*** KAMART เป็นรายเดียวที่เจอโควิด-19 แล้วไม่ถึงขั้นขาดทุน!
หากย้อนกลับไปในเดือนมี.ค.63 ซึ่งเป็นช่วงที่โควิด-19 เริ่มระบาดในประเทศไทย ขณะนั้นหุ้นในกลุ่มเครื่องสำอาง(DDD-KAMART-BEAUTY) ก็ได้รับผลกระทบจากประเด็นความน่าเชื่อถือของเครื่องสำอางไทยทำให้ยอดขายในกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนลดลงอยู่แล้ว เมื่อผนวกกับโควิด-19 เข้าไปจึงยิ่งทำให้ผลประกอบการในกลุ่มนี้ออกมาขาดทุนหนักดังนี้
บริษัท |
กำไรสุทธิ(ลบ.) |
1H63 |
1H62 |
DDD |
37.2* |
3.4 |
BEAUTY |
-101 |
116.32 |
KAMART |
55.58 |
136.8 |
*ทั้งนี้หากตัดรายได้จากคิวรอนซึ่งเป็นบริษัทที่ DDD เพิ่งเข้าซื้อไป(มีรายได้หลักมาจากแปรงสีฟัน ไดร์เป่าผม) และหันมานับเพียงเครื่องสำอางที่เป็นรายได้หลักเดิม จะถือว่ารายได้ใน 1H63 ลดลงราว -47% YoY เลยทีเดียวแปลว่า DDD จะขาดทุนไม่ต่างจาก BEAUTY เช่นกัน
หมายความว่า KAMART มีความแข็งแกร่งมากที่สุดในกลุ่ม เพราะเป็นผู้เล่นเครื่องสำอางของไทยเพียงรายเดียวที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่ผลประกอบการไม่ถึงขั้นขาดทุนสุทธิ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะบริษัทไม่ได้พึ่งพายอดขายจากนักท่องเที่ยวจีนเพียงอย่างเดียวเหมือนกับหุ้นเครื่องสำอางตัวอื่นๆ นั่นเอง!
อีกสาเหตุที่ทำให้ราคาพุ่งก็คือ แรงซื้อจากนักลงทุน NVDR โดยจู่ๆวานนี้ สัดส่วนการถือหุ้น KAMART โดย บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด(NVDR) ก็เพิ่มขึ้นมาจาก 19.64 ล้านหุ้น เป็น 22.25 ล้านหุ้นในวันเดียว คิดเป็นซื้อเพิ่มจากที่ถืออยู่เดิม 13.3%
*** แต่ KAMART ยังน่าลงทุนอยู่เปล่า? อันนี้เป็นอีกเรื่อง
แม้ผลประกอบการของ KAMART ในครึ่งแรกของปีจะไม่ถึงขั้นขาดทุน แต่ก็ต้องยอมรับว่าลดลงแรงถึง -44.42% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แม้จะไม่ได้พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติมากเหมือนเพื่อนในกลุ่ม แต่การปิดประเทศย่อมส่งผลกระทบกับ KAMART เช่นกัน จากปัญหากำลังซื้อลดลงเพราะผลกระทบทางตรงและทางอ้อมจากทั้งนักท่องเที่ยวจากจีนที่หายไปทั้งหมด
ทีนี้มาดูกันว่าถ้าจะเข้าซื้อ KAMART เพราะเป็นหุ้นเครื่องสำอางที่แกร่งสุด และมองว่าหุ้นเครื่องสำอางจะได้ผลดีจากนักท่องเที่ยวจีนที่กำลังจะเข้ามาในไทยล่ะก็ มาลองดูกัน!
ในปี 62 KAMART มีรายได้อยู่ที่ 1,526 ล้านบาท ซึ่งในปีดังกล่าวมีนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยทั้งหมด 11 ล้านคน คำนวณหยาบๆว่าคนจีนที่เข้ามาในไทยมีผลต่อยอดขายของ KAMART ทั้งหมด ก็คือจะมีรายได้ราว 138 บาทต่อนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาในไทย
มาถึงต้องนี้นักลงทุนคงไม่ต้องคำนวณกันให้ยุ่งยากแล้ว เพราะการเปิดรับคนจีนเข้าไทยในรอบนี้จะเปิดรับเพียง 300 รายต่อสัปดาห์หรือเท่ากับรับเข้าไทยได้ปีละ 15,600 คน... เริ่มตั้งแต่ 8 ต.ค.นี้ การที่ราคาหุ้นดีดกลับไปซื้อขายเท่ากับช่วงก่อนโควิด-19 ระบาดจึงเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง!
*** โบรกฯ แนะแตะเบรก! ลั่นพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนไป
บล.เคทีบี แนะนำชะลอลงทุนหุ้นกลุ่มเครื่องสำอาง เรามีมุมมองเป็นกลางจากนักท่องเที่ยวจีนเข้าประเทศ เรามองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาเป็นการเก็งกำไรระยะสั้นมากกว่า โดยกลุ่มเครื่องสำอางได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวจีนที่เปิดให้เข้ามาน้อยมาก เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามายังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับระดับปกติ สำหรับสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวจีน เรียงตามลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ BEAUTY, DDD, KAMART ดังนั้นเราคาดปัจจัยพื้นฐานของบริษัทยังไม่เปลี่ยนแปลง
สุดท้ายนอกจากสาเหตุที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว สิ่งที่ทำให้ KAMART ดูเหมือนถูกเก็งกำไรมากกว่าการลงทุนด้วยพื้นฐานก็คือ KAMART เป็นหุ้นที่ปรับตัวรับประเด็นข่าวนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยน้อยกว่าหุ้นตัวอื่นๆมาก(Laggard) ทำให้นักลงทุนน่าจะเข้ามาเก็งกำไรหุ้นตัวนี้แทน BEAUTY ที่ราคาหุ้นปรับขึ้นไปมากแล้ว และ DDD ที่ติด Cash Balance อยู่ในขณะนี้
สิ่งที่นักลงทุนต้องติดตามก็คือ KAMART มีประเด็นบวกอะไรมากกว่าที่บริษัทเปิดเผยอยู่ในขณะนี้หรือไม่ ? โดยเฉพาะประเด็น NVDR ที่จู่ๆ ก็เข้าซื้อหุ้นพรวดเดียวไปเกือบ 3 ล้านหุ้น หรือเพิ่มขึ้น 13.3% จากที่ถืออยู่เดิม!