ยินดีต้อนรับ กรุณา สมัครสมาชิก หรือเข้าสู่ระบบ

Home » หุ้น ROJNA
เข้าชม : 267

คาดดีลร่วมทุน EVLOMO อเมริกา เฟส 1 ดันกำไรเพิ่ม 330 ลบ./ปี คาดรับรู้อีก 2 ปีหน้า ปี 66

โพสต์เมื่อ: วันศุกร์ 2 กรกฎาคม 2564  20:05 น.
ROJNA โตได้อีกแค่ไหน...หลังกระโดดเข้าธุรกิจ EV
27 เมษายน 2564 | 13:30

https://www.efinancethai.com/HotStocks/HotStockMain.aspx?id=aWg5ZmN6dzFuazg9

กระแส EV ยังเป็นที่สนใจของโลก เพราะเพียงแค่ ROJNA ประกาศเข้าสู่อุตสาหกรรมดังกล่าว ราคาหุ้นก็ตอบรับด้วยการทำนิวไฮรอบ 6 ปี ทันที ขณะที่โบรกฯประเมินดีลนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ ROJNA คาดลงทุนเฟส 1 หนุนกำไรเพิ่ม 330 ลบ./ปี 
 
*** ดีดนิวไฮรอบ 6 ปี หลังกระโดดเข้าอุตสาหกรรม EV
 

ราคาหุ้น บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ ROJNA ช่วงเช้าวันนี้ (27 เม.ย.64) ดีดขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ราคา 8.25 บาท ทำนิวไฮในรอบ 6 ปี ก่อนปิดซื้อขายช่วงเช้าด้วยราคา 7.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.1 บาท หรือ 16.54% มีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น 688.22% จาก 5 วันทำการก่อนหน้า

โดย บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี ระบุถึงสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้น ROJNA ช่วงเช้าวันนี้ ปรับตัวขึ้นทำนิวไฮรอบ 6 ปี เนื่องจากกำลังได้รับปัจจัยหนุน  จากการเซ็นสัญญา MOU ร่วมทุนกับ EVLOMO เพื่อตั้งบริษัทผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ขนาดกำลังผลิต 8GWh ในนิคมโรจนะหนองใหญ่ จ.ระยอง
 

*** คาดดีลร่วมทุน EVLOMO เฟส 1 ดันกำไรเพิ่ม 330 ลบ./ปี
 

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า ROJNA ได้ลงนาม MOU ตกลงร่วมทุนกับ EVLOMO ในสัดส่วน 55% ต่อ 45% ดำเนินโครงการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ EV ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขนาดกำลังผลิต 8GWh ซึ่งจะรองรับรถยนต์ไฟฟ้าได้ 1.5 แสนคัน โดยปี 64 จะเริ่มลงทุนเฟส 1 มีขนาดกำลังผลิต 1GWh ซึ่งจะใช้งบลงทุน 143 ล้านเหรียญ (ประมาณ 4.5 พันล้านบาท) และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ 18 – 24 เดือนข้างหน้า

ขณะที่ ประเมินรายได้จากการลงทุน 1GWh จะอยู่ที่ 6 พันล้านบาท โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น และกำไรสุทธิราว 20% และ 10% ตามลำดับ กำไรสุทธิจึงอยู่ราว 600 ล้านบาท แต่เมื่อประเมินจากสัดส่วนการถือหุ้นที่ 55% ดีลนี้จะให้กำไรสุทธิกับ ROJNA ราว 330 ล้านบาท ในช่วงการลงทุนเฟส 1 

ทั้งนี้ แม้ยังต้องใช้ระยะเวลาศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนินธุรกิจ แต่ดีลนี้จะเป็นปัจจัยบวกต่อ ROJNA ในแง่การกระจายความเสี่ยงของธุรกิจ ซึ่งเป็นการลงทุนที่สอดคล้องกับเมกะเทรนด์ของโลกอนาคต โดยจะทำให้กำไรสุทธิของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 
 

*** ผู้ถือหุ้นสบายใจได้ ยังไม่ต้องเพิ่มทุน 
 

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า ประเมินการลงทุนในโครงการแบตเตอรี่รถยนต์ EV ของ ROJNA ในกรณีแย่ที่สุด คือการต้องกู้เงินมาลงทุนทั้งหมดในช่วงเฟส 1 ที่คาดต้องใช้เงินลงทุนราว 4.5 พันล้านบาท จะทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net Gearing Ratio) เพิ่มเป็น 1.5 เท่า จากสิ้นปี 63 อยู่ที่ 1.3 เท่า จึงคาดว่าจะไม่เป็นภาระจากการกู้เพิ่มที่หนักเกินไป จนถึงขนาดต้องเพิ่มทุน
 

*** ยอดขายที่ดินพุ่ง จนโบรกฯต้องอัพเป้ากำไรอีก 10%
 

บล.กรุงศรี ระบุว่า ในช่วงไตรมาส 1/64 ทาง ROJNA ขายที่ดินได้ 233 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ขายได้ 70 ไร่ และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ขายได้ 199 ไร่ โดยยอดขายส่วนใหญ่มาจาก นิคมโรจนะบ่อวิน ซึ่งลูกค้าหลักเป็นชาวจีน ที่เข้ามาทำธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ และ เครื่องจักร เป็นต้น 

ด้าน ยอดโอนที่ดินในช่วงไตรมาส 1/64 อยู่ที่ 104 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ 67 ไร่ แต่ลดลงจากไตรมาสก่อนที่ทำได้ 208 ไร่ โดยหลังสิ้นสุดไตรมาส 1/64 ทาง ROJNA มี Backlog เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 636 ไร่

ขณะที่ บล.ทิสโก้ ได้ปรับประมาณการรายได้ และกำไรสุทธิปี 64 ของ ROJNA เพิ่มขึ้น 15% และ 10% ตามลำดับ เพื่อสะท้อนยอดโอนที่ดินในปีนี้ ที่มีแนวโน้มทำได้ดีกว่าที่คาดไว้เดิม 200 ไร่ โดยประมาณการใหม่คาด ROJNA จะมียอดโอนที่ดินในปี 64 ราว 400 ไร่ ประกอบกับ ธุรกิจผลิตไฟฟ้ามีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 21.7% (เดิม 21.2%)

เช่นเดียวกับ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ที่มีแนวโน้มปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 64 ของ ROJNA ขึ้น หลังรายได้จากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม และอัตรากำไรขั้นต้นโรงไฟฟ้าสูงขึ้น อีกทั้งยังคาดว่า ROJNA จะได้รับผลดีจากเงินลงทุนใน GULF ซึ่งเตรียมลงทุนเพิ่มใน INTUCH และคาดว่าในอนาคต GULF จะได้ประโยชน์และมีมูลค่าเพิ่มจาก INTUCH และ ADVANC ในแง่การเป็น Digital Firm ซึ่งในที่สุด ROJNA ก็จะพลอยได้รับประโยชน์ดังกล่าวไปด้วย
 

*** แต่โบรกฯ ส่วนใหญ่แนะนำแค่"ถือ"
 

จากการสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่แนะนำเพียงแค่"ถือ" เท่านั้น เนื่องจากมองว่าราคาหุ้น ROJNA ปรับตัวขึ้นแรง จนทำให้ราคาเต็มมูลค่าแล้ว โดยราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปี (YTD) ที่ปรับตัวขึ้น 85% ได้สะท้อนปัจจัยบวกยอดโอนที่ดินปี 64 ที่มีแนวโน้มดีกว่าคาดไปมากแล้ว
 

บล. คำแนะนำ ราคาเหมาะสม (บ.)
ดีบีเอสฯ  ซื้อ 7.24
กรุงศรี   ถือ     6.40
ทิสโก้ ถือ     5.10
ราคาเฉลี่ย 6.24
คงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่หลายบริษัทในประเทศไทยเริ่มหันมาลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น เนื่องจากในอนาคตอันใกล้ จะได้เห็นการเปลี่ยนโฉมหน้าของอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างแน่นอน ดังนั้น การเร่งลงทุนในระยะเปลี่ยนผ่านเพื่อยึดฐานที่มั่นไว้ก่อน จึงเป็นกลยุทธ์ที่ได้เปรียบคู่แข่งที่เข้าสู่ตลาดช้ากว่า 
สุดท้ายนักลงทุน คงต้องตอบตัวเองให้ได้ เมื่ออุตสาหกรรมยานยนต์พลิกโฉมหน้า เปลี่ยนผู้บริโภคหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้มากขึ้น จะเป็นปัจจัยที่สามารถสร้างการเติบโตให้กับเหล่าบริษัท ที่เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมดังกล่าวได้มหาศาล อย่างที่คาดหวังหรือไม่? นั่นจึงเป็นคำตอบสุดท้ายในการตัดสินใจเข้าลงทุน.... 



คุณต้องสมัครสมาชิก ถึงจะโพสกระทู้ได้

สมัครสมาชิก เข้าสู่ระบบ