*** ปักธงรายได้ปี 62 โตก้าวกระโดด
นายวิเศษ จูงวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP ระบุ บริษัทประเมินรายได้ในปี 62 จะเติบโตก้าวกระโดดจากปี 61 ที่มั่นใจทำได้ 4 - 4.2 พันล้านบาท หรือเติบโต 10-15% เนื่องจากเป็นปีที่บริษัทจะรับรู้รายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าเข้ามาตามกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้นอีก 33 เมกะวัตต์ (MW) แบ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก 133 เมกะวัตต์ (MW)สัดส่วนถือหุ้น 30% คิดเป็นกำลังการผลิตตามสัดส่วนถือหุ้น 30 MW คาดจ่ายไฟเชิงพาณิชย์(COD)ในเดือนม.ค. 62 และจากการจ่ายไฟโรงไฟฟ้าจากขยะในช่วงปลายปีอีก 3 MW
ซึ่งจะส่งผลให้ภายในช่วงสิ้นปี 62 บริษัทมีโรงไฟฟ้าดำเนินการเชิงพาณิชย์รวม 553 MW ขณะเดียวกันบริษัทจะรับรู้รายได้จากธุรกิจค้าปลีกก๊าซธรรมชาติโครงการ ดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์น ซีบอร์ด เอ็นจีดี 2 ที่จะเริ่มจำหน่ายในไตรมาส 4/61 เข้ามาเต็มปี และโครงการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด 4 ในไตรมาส 2/62 ขณะที่ธุรกิจสาธารณูปโภคยังคงเติบโตต่อเนื่อง
*** เปิดแผนลงทุนปี 62
ขณะที่แผนการลงทุนในปี 62 บริษัทคาดว่าจะเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้ในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยจะให้ความสนใจในการลงทุนต่อเนื่องจากโครงการเดิม อาทิ โครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กที่ร่วมทุนกับพันธมิตร, โครงการโรงไฟฟ้าจากขยะ, ระบบสาธารณูปโภคใน 2 นิคมอุตสาหกรรม โดยเบื้องต้นคาดจะใช้เงินลงทุนไม่สูงนักหรือใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ราว 1.8 - 2 พันล้านบาท
ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาเข้าลงทุนในโครงการ ดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์น ซีบอร์ด เอ็นจีดี 3 หรือท่อส่งก๊าซธรรมชาติแห่งที่ 3 ร่วมกันกับพันธมิตร 3 ราย ประกอบไปด้วย บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF บริษัท มิตซุยแอนด์โค จำกัด และ บริษัท โตเกียว แก๊ส เอเชีย จำกัด ซึ่งคาดว่าจะสามารถเห็นความชัดจนและเริ่มก่อสร้างได้ในปลายปี 62
และอยู่ระหว่างศึกษาเข้าซื้อกิจการระบบสาธารณูปโภคในประเทศเวียดนาม ได้แก่ การให้บริการจำหน่ายน้ำดี และบำบัดน้ำเสียในพื้นที่นอกเขตนิคมอุตสาหกรรม เพื่อให้บริการในกลุ่มนอกนิคมอุตสาหกรรมประเทศเวียดนาม ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปี 62 ส่วนการพัฒนาพื้นที่เขตนิคมอุตสาหกรรมคาดจะเริ่มก่อสร้างในปี 62 และรับรู้รายได้ในปี 63
*** ยังไม่ทิ้งพลังงานทดแทนแม้อัตราซื้อไฟลด
ภายในปีนี้บริษัทได้เจรจากับลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมเพื่อติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปอีก 10 MW ซึ่งคาดว่าจะสามารถเซ็นสัญญาได้ทั้งหมดภายในปีนี้ ซึ่งด้านการเข้าลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทน ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม และโรงไฟฟ้าพลังงานลม แต่จะต้องรอรัฐบาลเวียดนามประกาศให้เข้าร่วมลงทุน และดำเนินการในเฟสที่ 2 โดยโครงการโซลาร์ฟาร์มมีโอกาสที่อัตราการรับซื้อไฟฟ้าจะลดลง แต่โรงไฟฟ้าพลังงานลมมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น บริษัทจึงประเมินว่าเป็นโครงการที่น่าสนใจทั้งคู่