ยินดีต้อนรับ กรุณา สมัครสมาชิก หรือเข้าสู่ระบบ

Home » หุ้น BTS
เข้าชม : 1065

บทวิเคราะห์ หุ้น BTS ปี 2557 ไตรมาส 2

โพสต์เมื่อ: วันจันทร์ 20 ตุลาคม 2557  20:04 น.
บทวิเคราะห์ หุ้น BTS ปี 2557 ไตรมาส 2

งบกำไรขาดทุน
1. ยอดขาย ถึง ไตรมาสที่ 2
รายได้จากการขาย ขายได้ 1686.06 ล้าน
ถ้าคิดทั้งปี ก็ประมาณ 3372.12 ล้าน เปรียบเทียบกับทรัพย์สินที่มีอยู่ 77125.01 ล้าน
ยอดขายเป็น 0.04 เท่า ของสินทรัพย์ (โดยทั่วไปถ้ายอดขายต่อปี มากกว่า 1 เท่าของสินทรัพย์ของบริษัท ถือว่าค่อนข้างใช้ได้)

2. รายได้อื่นๆ 486.08 ล้าน เท่ากับประมาณ 20.74 % ของยอดขายรวม

3. รายได้ทั้งหมด 2343.89 ล้าน หัก ต้นทุนขาย 849.63 ล้าน เท่ากับกำไรขั้นต้นประมาณ 1494.26 ล้าน 
หรือมี margin ส่วนต่างกำไรประมาณ 63.75 % (ถ้าได้มากกว่า 20 % ขึ้นไปถือว่าค่อนข้างใช้ได้-ดี )

4. ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร เท่ากับ 382.76 ล้าน เทียบกับยอดขาย 1686.06 ล้าน ประมาณ 22.7 % 
เมื่อเปรียบเทียบกับกำไรขั้นต้น 1494.26 ล้าน ประมาณ 25.62 % (ถ้าเท่ากับประมาณ 18% ถือว่าอยู่เกณฑ์ปกติ ควรต่ำกว่า 18% จะอยู่ในเกณฑ์ดี)

5. ค่าตอบแทนกรรมการและผู้บริหาร 341.28 ล้าน เทียบกับยอดขาย 1686.06 ล้าน ประมาณ 20.24 %
เทียบกับกำไรขั้นต้น 1494.26 ล้าน ประมาณ 22.84 %

6. กำไร (ขาดทุน) ก่อนต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ 1108.16 ล้าน
เป็นต้นทุนการเงิน (ดอกเบี้ยจ่าย) 133.59 ล้าน คิดเป็น 12.06 % ของกำไรก่อนต้นทุนทางการเงิน 
เสียภาษีเงินได้ 212.25 ล้าน คิดเป็น 19.15 % ของกำไรก่อนต้นทุนทางการเงิน

7. กำไรสุทธิถึง ไตรมาสที่ 2 เท่ากับ 762.32 ล้าน เมื่อเปรียบเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้น 58860.54 ล้าน คิดเป็น 1.3 % ถ้าคิดทั้งปีก็ประมาณ 2.6 %

8. กำไรต่อหุ้น 0.05 บาท ต่อ 2 ไตรมาส 
ถ้าคิดทั้งปีจะมีกำไรต่อหุ้น 0.1
เมื่อดูราคาขณะนี้ ราคา 9.50 ต่อหุ้น
ถ้ารายได้สม่ำเสมอตามนี้ จำนวนปีที่จะคืนทุนคือ 95 ปี
*** ในกรณีที่หุ้นมีการ เพิ่มทุน ลดทุน แตกพาร์ ลดพาร์ รวมพาร์ จะทำให้การค่า P/E คลาดเคลื่อนได้
*** ค่า P/E เหมาะสำหรับใช้คำนวนในบริษัทที่มีกำไรสม่ำเสมอเท่านั้น
 
งบดุล
1. เงินสดและเงินลงทุนระยะสั้น มีจำนวน 31393.88 ล้าน
เฉพาะเงินสดมี 7631.20 ล้าน 
** เปรียบเทียบเพื่อดูสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทว่ามีเงินสดมากเท่าใด

2. ลูกหนี้การค้ามีจำนวน 1419.51 ล้าน เปรียบเทียบกับยอดขาย 1686.06 ล้าน ต่อ 2 ไตรมาส
หรือเป็นยอดขาย 281.01 ล้าน ต่อเดือน จะเห็นได้ว่า บริษัทให้เครดิตลูกค้าประมาณ 151 วัน

3. สินค้าคงคลัง หรือสต็อกวัตถุดิบมีจำนวน 2513.94 ล้าน
ในขณะที่ช่วงถึง ไตรมาสที่ 2 บริษัท ขายสินค้าไปตามราคาทุน 849.63 ล้าน
หรือประมาณเดือนละ 141.61 ล้าน เท่ากับว่า บริษัทมีสต็อก วัตถุดิบและสินค้า ที่จะเตรียมส่งขาย
ประมาณ 532 วัน 

4. บริษัทมีสินทรัพย์ เป็น ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์(โรงงาน) 7676.12 ล้าน เปรียบเทียบกับยอดขายต่อปี 3372.12 ล้าน
** เปรียบเทียบเพื่อดูว่า ถ้าหากบริษัทต้องการขยายกิจการเพื่อเพิ่มยอดขาย ต้องใช้เงินมากเพียงใด มีเหตุจำเป็นทำให้ต้องเรียกเพิ่มทุนหรือไม่

5. สภาพคล่อง โดยคิด อัตราส่วนสินทรัพย์หมุนเวียนต่อหนี้สินหมุนเวียน (คิดลูกหนี้การค้าแค่ 85% เผื่อในกรณีหนี้เสียที่ตามเก็บไม่ได้)
มีค่าเท่ากับ 4.18 เท่า (โดยทั่วไปแล้ว ถ้ามีอัตราส่วนนี้อยู่ระหว่าง 1.5-2.5 เท่า ก็จะดี)

6. หาค่าหุ้น ก้นบุหรี่ หรือหุ้นแบกับดิน โดยการเอา สินทรัพย์หมุนเวียน หักด้วยหนี้สินทั้งหมด นั่นคือ
(36206.65)-(18264.47) = (17942.18)
ถ้าค่าเป็นบวก นั่นคือ เฉพาะ สินทรัพย์หมุนเวียน เพียงอย่างเดียวก็สามารถชำระหนี้ทั้งหมดได้ จัดว่าเป็นบริษัทที่มีความมั่นคงสูงมาก
เมื่อนำ 17942.18 หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดก็ คือ 17942.18 ล้าน ÷ 11914 ล้าน = 1.51 บาทต่อหุ้น
กล่าวคือ ถ้านักลงทุน ลงทุนกิจการนี้ที่ 1.51 บาทต่อหุ้น โอกาสที่นักลงทุนจะขาดทุนกับหุ้นตัวนี้นั้นต่ำมาก แทบจะไม่มีข้อเสีย เหมือนได้หุ้นฟรี 
*** ถ้าผลลัพท์เป็น + จึงจะถึอว่าเป็นหุ้นก้นบุหรี ถ้าผลลัพท์เป็น - แสดงว่าไม่ใช่หุ้นก้นบุหรี่ 

7. คิด มาร์จินออฟเซฟตี้ แบบ เบนจามินเกรแฮม
โดยการเอา สินทรัพย์หมุนเวียน(สินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้เร็วสุด) หักด้วยหนี้สินทั้งหมด นั่นคือ
(36206.65)-(18264.47) = (17942.18)

เหลือเท่าไหร่ หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมด คือ 17942.18 ล้าน ÷ 11914 ล้าน = 1.51 บาทต่อหุ้น
เสร็จแล้ว เอา 2/3 คูณ จะได้สูตรมาร์จินออฟเซฟตี้ของเบนจามินเท่ากับ 1.01 ถ้าราคาตลาดต่ำกว่า 1.01 ถือว่า เป็นหุ้น โครตถูก (ราคาตลาดตอนนี้ 9.50 )

*** ถ้าผลลัพท์เป็นบวกแสดงว่ามีเงินสดเหลืออยู่มากเกินกว่าราคาหุ้นที่เราซื้อถือว่าราคาหุ้นมีความปลอดภัยสูง ผลลัพท์ที่ได้ต้องเป็นบวกเท่านั้น ถ้าเป็นลบแสดงว่าไม่ใช่
 
หนี้สินของบริษัท
1. เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงิน มีจำนวน 200.00 ล้าน
เทียบกับยอดขาย 3372.12 ล้าน ต่อปี

2. เจ้าหนี้การค้าและเจ้าหนี้อื่น ซึ่งเป็นผู้ขายสินค้าและวัตถุดิบให้บริษัทมีจำนวน 2011.62 ล้าน

3. หนี้สินหมุนเวียนอื่นๆ 1841.91 เทียบกับหนี้สินหมุนเวียนทั้งหมด 8671.05

4. หนี้สินระยะยาว 1275.60 ล้าน แสดงถึงการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินว่ามากน้อยขนาดไหน
** บ่งบอกถึงโครงสร้างทางการเงินของบริษัทว่าอ่อนแอหรือไม่

5. โครงสร้างทางการเงินของบริษัท

มีหนี้ทั้งหมด 18264.47

แต่มีส่วนของผู้ถือหุ้นรวมกัน 58860.54 

หรือมีหนี้ทั้งหมด 23.68 % ของสินทรัพย์ทั้งหมด

(ซึ่งบริษัทโดยทั่วไปมักมีหนี้มากกว่า 50% ของสินทรัพย์)

บริษัทมีทุนจดทะเบียน 63652.54 ล้าน เมื่อรวมกำไรสะสม จำนวน 4228.63 ล้าน

ทำให้มีจำนวนส่วนของผู้ถือหุ้นทั้งหมดประมาณ 58860.54 ล้าน

ข้อที่น่าสังเกตุก็คือ ส่วนของผู้ถือหุ้น มาจากกำไรแต่ละปีหลังหักเงินปันผลแล้ว ทบเข้ามาเพิ่มเรื่อยๆ หากบริษัทใดมีกำไรสะสมเยอะๆนั้น ถือเป็นกิจการที่ล้มยาก

RE : บทวิเคราะห์ หุ้น BTS ปี 2557 ไตรมาส 2 [ ความเห็นที่ 1]
โพสต์เมื่อ: วันอังคาร 21 ตุลาคม 2557  15:36 น.



BTS จะทำให้ NPARK ระยะยาวจะมีสินทรัพย์ที่จะสร้างรายได้ที่ชัดเจนมากขึ้น หรือป่าว ??

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ซ้ำหลาย ๆ รอบ
ปล.การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูล
ให้ดีก่อนการตัดสินใจ (ถ้าพอร์ตแดงอย่าว่ากันนะ)


1. Npark จะให้หุ้น BTS จำนวน 213,000,000,000 ล้านหุ้น ที่ราคา 0.047 บาท คิดเป็นเงิน 10,000 ล้านบาท 
2Q57 npark มีการเพิ่มทุนที่ 0.035 บาท ไป 1 รอบแล้ว
ถ้าเก็บที่ 0.05 บาท เราจะมีทุนใกล้เคียงผู้บริหาร หรือทุนของคนส่วนใหญ่
ราคา 0.03-0.05 มีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง 
ซึ่งราคาไม่น่าร่วงลงไปกว่านี้ ถ้าตัวผู้บริหาร BTS ไม่คิดขายหุ้นออกมาทำกำไร 

2.จากสูตร มูลค่าหุ้นทางบัญชี book มาจาก ส่วนของผู้ถือหุ้น หารด้วย จำนวนผู้ถือหุ้น
คิดคร่าว ๆ = ตอนนี้ Npark มีสินทรัพย์ทั้งหมด 5,569.23  ล้านบาท ถ้า + สินทรัพย์ที่ BTS จะโอนเข้าอีก 10,000 ล้าน 
จะกลายเป็น 15,569 ล้าน (ประมาณนะ) หักหนี้สินทั้งหมด 1230 ล้าน จะเหลือในส่วนผู้หุ้น 14339 ล้าน 
เอามาหารจำนวนหุ้นทั้งหมด ซึ่งจะมาจาก
ส่วนที่เพิ่มทุนให้ BTS  213,000,000,000 หุ้น + รวมหุ้น Npark 180,637,710,882 หุ้น รวม
= 393,637,710,882 หุ้น จะได้ Book = 0.0364 บาท

ซึ่งเป็น BOOK ที่ยังไม่ได้ใส่ Growth เข้าไปนะ
ในอนาคต ถ้าบริษัทมีรายได้จากโรงแรม ฯลฯ ก็จะมี Growth เพิ่มเข้ามาอีก

3. ตอนนี้ Npark มี ขาดทุนสะสม -7,833.94 ล้าน ถ้าผู้บริหารต้องการจะจ่ายเงินปันผล
จะต้องล้างขาดทุนสะสมออกให้หมดก่อน คาดว่า น่าจะล้างขาดทุนสะสมด้วยการลดมูลค่าราคาพาร์ลง 
หลังจากที่เพิ่มทุนให้ BTS ช่วงก่อนปีใหม่ 58 แล้ว 
น่าจะลดพาร์จาก 1 บาท เหลือ 10 สตางค์หรือป่าว ??

4. ถ้า BTS โอนสินทรัพย์ให้ Npark แล้ว จะทำให้ npark มีรายได้ที่สม่ำเสมอ จากโรงแรมอีสติน
** ซึ่งได้ปีละกี่บาทไม่รู้ ให้ดูรูปด้านบน ***
ส่วนที่ดินอีก 2 ผืนใหญ่ หมอชิต พญาไท ไปว่ากันอีกที.. เขาน่าจะทำคอนโดแหละม้าง

5. ถ้า siri จะเอาที่ดิน หมอชิต ไปพัฒนาทำคอนโดต่อ จะต้องทำเรื่องซื้อที่ดินจาก npark หรือป่าว ??
ถ้าต้องทำเรื่องซื้อที่ดิน จะมีรายได้เข้างบ npark อีกที หรือป่าว อันนี้ไม่รู้ง่ะ รอดูข่าวจากผู้บริหารต่อไปเนอะ

6.กลยุทธแบบนี้เคยเกิดกับหุ้นสิงห์ เอสเตท เข้าซื้อ rasa มาแล้ว
ตอนนี้กลายเป็นหุ้น s แล้ว ลองไปศึกษาดู ดูวีดีโอได้ที่ลิงค์นี้ http://www.youtube.com/watch?v=2cc_GM9wTPQ

(หุ้นตัวนี้ไม่มีปันผลนะ) 
ใครตังค์น้อย ใจไม่ถึง รับความเสี่ยงไม่ได้ เงินไม่เย็นพออย่าเข้าน๊า... 
หุ้นตัวนี้โหดมาก กระดิกช่องละ 15% เลยทีเดียว


คุณต้องสมัครสมาชิก ถึงจะโพสกระทู้ได้

สมัครสมาชิก เข้าสู่ระบบ