ยินดีต้อนรับ กรุณา สมัครสมาชิก หรือเข้าสู่ระบบ

Home » หุ้น TKS
เข้าชม : 520

บทวิเคราะห์ หุ้น TKS ปี 2557 ไตรมาส 3

โพสต์เมื่อ: วันศุกร์ 7 พฤศจิกายน 2557  14:02 น.
บทวิเคราะห์ หุ้น TKS ปี 2557 ไตรมาส 3

งบกำไรขาดทุน
1. ยอดขาย ถึง ไตรมาสที่ 3
รายได้จากการขาย ขายได้ 1196.19 ล้าน
ถ้าคิดทั้งปี ก็ประมาณ 1594.92 ล้าน เปรียบเทียบกับทรัพย์สินที่มีอยู่ 2541.93 ล้าน
ยอดขายเป็น 0.63 เท่า ของสินทรัพย์ (โดยทั่วไปถ้ายอดขายต่อปี มากกกว่า 1 เท่าของสินทรัพย์ของบริษัท ถือว่าค่อนข้างใช้ได้)

2. รายได้อื่นๆ 22.48 ล้าน เท่ากับประมาณ 1.8 % ของยอดขายรวม

3. รายได้ทั้งหมด 1246.00 ล้าน หัก ต้นทุนขาย 860.00 ล้าน เท่ากับกำไรขั้นต้นประมาณ 386 ล้าน
หรือมี margin ส่วนต่างกำไรประมาณ 30.98 % (ถ้าได้มากกว่า 20 % ขึ้นไปถือว่าค่อนข้างใช้ได้-ดี )

4. ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร เท่ากับ 164.00 ล้าน เทียบกับยอดขาย 1196.19 ล้าน ประมาณ 13.71 %
เมื่อ เปรียบเทียบกับกำไรขั้นต้น 386 ล้าน ประมาณ 42.49 % (ถ้าเท่ากับประมาณ 18% ถือว่าอยู่เกณฑ์ปกติ ควรต่ำกว่า 18% จะอยู่ในเกณฑ์ดี)

5. ค่าตอบแทนกรรมการและผู้บริหาร 0.00 ล้าน เทียบกับยอดขาย 1196.19 ล้าน ประมาณ 0 %
เทียบกับกำไรขั้นต้น 386 ล้าน ประมาณ 0 %

6. กำไร (ขาดทุน) ก่อนต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ 249.29 ล้าน
เป็นต้นทุนการเงิน (ดอกเบี้ยจ่าย) 19.21 ล้าน คิดเป็น 7.71 % ของกำไรก่อนต้นทุนทางการเงิน
เสียภาษีเงินได้ 2.04 ล้าน คิดเป็น 0.82 % ของกำไรก่อนต้นทุนทางการเงิน

7. กำไรสุทธิถึง ไตรมาสที่ 3 เท่ากับ 327.91 ล้าน เมื่อเปรียบเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้น 1658.75 ล้าน คิดเป็น 19.77 % ถ้าคิดทั้งปีก็ประมาณ 26.36 %

8. กำไรต่อหุ้น 0.76 บาท ต่อ 3 ไตรมาส
ถ้าคิดทั้งปีจะมีกำไรต่อหุ้น 1.01
เมื่อดูราคาขณะนี้ ราคา 9.55 ต่อหุ้น
ถ้ารายได้สม่ำเสมอตามนี้ จำนวนปีที่จะคืนทุนคือ 9.46 ปี
*** ในกรณีที่หุ้นมีการ เพิ่มทุน ลดทุน แตกพาร์ ลดพาร์ รวมพาร์ จะทำให้การค่า P/E คลาดเคลื่อนได้
*** ค่า P/E เหมาะสำหรับใช้คำนวนในบริษัทที่มีกำไรสม่ำเสมอเท่านั้น
 
งบดุล
1. เงินสดและเงินลงทุนระยะสั้น มีจำนวน 142.42 ล้าน
เฉพาะเงินสดมี 142.42 ล้าน
** เปรียบเทียบเพื่อดูสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทว่ามีเงินสดมากเท่าใด

2. ลูกหนี้การค้ามีจำนวน 254.78 ล้าน เปรียบเทียบกับยอดขาย 1196.19 ล้าน ต่อ 3 ไตรมาส
หรือเป็นยอดขาย 132.91 ล้าน ต่อเดือน จะเห็นได้ว่า บริษัทให้เครดิตลูกค้าประมาณ 57 วัน

3. สินค้าคงคลัง หรือสต็อกวัตถุดิบมีจำนวน 144.32 ล้าน
ในขณะที่ช่วงถึง ไตรมาสที่ 3 บริษัท ขายสินค้าไปตามราคาทุน 860.00 ล้าน
หรือประมาณเดือนละ 95.56 ล้าน เท่ากับว่า บริษัทมีสต็อก วัตถุดิบและสินค้า ที่จะเตรียมส่งขาย
ประมาณ 45 วัน

4. บริษัทมีสินทรัพย์ เป็น ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์(โรงงาน) 693.90 ล้าน เปรียบเทียบกับยอดขายต่อปี 1594.92 ล้าน
** เปรียบเทียบเพื่อดูว่า ถ้าหากบริษัทต้องการขยายกิจการเพื่อเพิ่มยอดขาย ต้องใช้เงินมากเพียงใด มีเหตุจำเป็นทำให้ต้องเรียกเพิ่มทุนหรือไม่

5. สภาพคล่อง โดยคิด อัตราส่วนสินทรัพย์หมุนเวียนต่อหนี้สินหมุนเวียน (คิดลูกหนี้การค้าแค่ 85% เผื่อในกรณีหนี้เสียที่ตามเก็บไม่ได้)
มีค่าเท่ากับ 1.67 เท่า (โดยทั่วไปแล้ว ถ้ามีอัตราส่วนนี้อยู่ระหว่าง 1.5-2.5 เท่า ก็จะดี)

6. หาค่าหุ้น ก้นบุหรี่ หรือหุ้นแบกับดิน โดยการเอา สินทรัพย์หมุนเวียน หักด้วยหนี้สินทั้งหมด นั่นคือ
(503.31)-(883.18) = (-379.87)
ถ้าค่าเป็นบวก นั่นคือ เฉพาะ สินทรัพย์หมุนเวียน เพียงอย่างเดียวก็สามารถชำระหนี้ทั้งหมดได้ จัดว่าเป็นบริษัทที่มีความมั่นคงสูงมาก
เมื่อนำ -379.87 หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดก็ คือ -379.87 ล้าน ÷ 327 ล้าน = -1.16 บาทต่อหุ้น
กล่าวคือ ถ้านักลงทุน ลงทุนกิจการนี้ที่ -1.16 บาทต่อหุ้น โอกาสที่นักลงทุนจะขาดทุนกับหุ้นตัวนี้นั้นต่ำมาก แทบจะไม่มีข้อเสีย เหมือนได้หุ้นฟรี
*** ถ้าผลลัพท์เป็น + จึงจะถึอว่าเป็นหุ้นก้นบุหรี ถ้าผลลัพท์เป็น - แสดงว่าไม่ใช่หุ้นก้นบุหรี่

7. คิด มาร์จินออฟเซฟตี้ แบบ เบนจามินเกรแฮม
โดยการเอา สินทรัพย์หมุนเวียน(สินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้เร็วสุด) หักด้วยหนี้สินทั้งหมด นั่นคือ
(503.31)-(883.18) = (-379.87)

เหลือเท่าไหร่ หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมด คือ -379.87 ล้าน ÷ 327 ล้าน = -1.16 บาทต่อหุ้น
เสร็จแล้ว เอา 2/3 คูณ จะได้สูตรมาร์จินออฟเซฟตี้ของเบนจามินเท่ากับ -0.77 ถ้าราคาตลาดต่ำกว่า -0.77 ถือว่า เป็นหุ้น โครตถูก (ราคาตลาดตอนนี้ 9.55 )

*** ถ้าผลลัพท์เป็นบวกแสดงว่ามีเงินสดเหลืออยู่มากเกินกว่าราคาหุ้นที่เราซื้อ ถือว่าราคาหุ้นมีความปลอดภัยสูง ผลลัพท์ที่ได้ต้องเป็นบวกเท่านั้น ถ้าเป็นลบแสดงว่าไม่ใช่
 
หนี้สินของบริษัท
1. เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงิน มีจำนวน 0.00 ล้าน
เทียบกับยอดขาย 1594.92 ล้าน ต่อปี

2. เจ้าหนี้การค้าและเจ้าหนี้อื่น ซึ่งเป็นผู้ขายสินค้าและวัตถุดิบให้บริษัทมีจำนวน 229.82 ล้าน

3. หนี้สินหมุนเวียนอื่นๆ 0.00 เทียบกับหนี้สินหมุนเวียนทั้งหมด 301.80

4. หนี้สินระยะยาว 500.00 ล้าน แสดงถึงการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินว่ามากน้อยขนาดไหน
** บ่งบอกถึงโครงสร้างทางการเงินของบริษัทว่าอ่อนแอหรือไม่

5. โครงสร้างทางการเงินของบริษัท

มีหนี้ทั้งหมด 883.18

แต่มีส่วนของผู้ถือหุ้นรวมกัน 1658.75

หรือมีหนี้ทั้งหมด 34.74 % ของสินทรัพย์ทั้งหมด

(ซึ่งบริษัทโดยทั่วไปมักมีหนี้มากกว่า 50% ของสินทรัพย์)

บริษัทมีทุนจดทะเบียน 327.46 ล้าน เมื่อรวมกำไรสะสม จำนวน 761.46 ล้าน

ทำให้มีจำนวนส่วนของผู้ถือหุ้นทั้งหมดประมาณ 1658.75 ล้าน

ข้อที่น่าสังเกตุก็คือ ส่วนของผู้ถือหุ้น มาจากกำไรแต่ละปีหลังหักเงินปันผลแล้ว ทบเข้ามาเพิ่มเรื่อยๆ หากบริษัทใดมีกำไรสะสมเยอะๆนั้น ถือเป็นกิจการที่ล้มยาก           



คุณต้องสมัครสมาชิก ถึงจะโพสกระทู้ได้

สมัครสมาชิก เข้าสู่ระบบ