พิมพ์

ผลไม้ 7 ชนิด ที่คนเป็นโรคเกาต์ควรทาน ช่วยขับกรดยูริคได้ ลดภาวะเลือดเป็นกรดในร่างกาย

โพสต์เมื่อ: วันพุธ 3 กรกฎาคม 2562  18:31 น.

โรคเกาต์ (Gout) เกิดจากการสะสมของกรดยูริค (uric acid) ในเลือด และตกตะกอนเป็นผลึกรูปเข็มอยู่ตามข้อ ทำให้เกิดการอักเสบ ปวดบวมแดงร้อนอย่างเฉียบพลัน ซึ่งระดับของกรดยูริคในเลือดสูงจะบ่งบอกถึงปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคเกาต์ ความดันสูง เส้นเลือดเสื่อมสภาพ นิ่วในไต และไตวาย การรู้ระดับของกรดยูริคในเลือด..จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ต่อการพยากรณ์โรคหลาย ๆ ชนิด โดย โรคเก๊าท์มักมีอาการกำเริบเวลาอากาศเย็น และเวลากลางคืน

อาการข้ออักเสบพบมากในเวลาที่อากาศเย็น และมักเกิดกับอวัยวะที่อยู่ไกลจากหัวใจ เช่น ปลายมือ ปลายเท้า เพราะกรดยูริกละลายในของเหลวได้น้อยในอุณหภูมิต่ำ จึงมีการตกผลึกเกิดขึ้น และทำให้การไหลเวียนของเลือดลดลง ข้อมูลจาก   https://www.doctor.or.th/article/detail/1084

ถ้าเรามีกล้องจุลทรรศน์ส่องไปที่ผลึกเกลือยูเรตจะพบว่ามีลักษณะคล้ายเข็มมีความแหลมคม ซึ่งเจ้าผลึกเกลือยูเรตเหล่านี้แหละครับที่ไปทิ่มไปตำเนื้อเยื้อรอบข้อของเราให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนขึ้นนั่นเอง

ภาวะเลือดปกติในร่างกายของคนเรา จะมีค่า pH อยู่ประมาณ 7.4 จะส่งผลให้กระบวนการทำงานในร่างกายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด โดยเฉพาะการย่อยและดูดซึมอาหาร รวมไปถึงการขจัดของเสียออกจากร่างกาย

"ผลไม้ 7 ชนิด" ที่คนเป็นเกาต์ควรทาน ช่วยขับกรดยูริคได้ (ภาวะเลือดเป็นกรด)

เมื่อไม่นานมานี้เว็บไซต์ต่างประเทศได้เปิดเผยรายงานว่า สำหรับคนที่ทุกข์ทรมานจากโรคเกาต์แล้ว ต้องระวังอาหารการกินให้มาก เพราะถ้ากินผิด ก็เหมือนไปตอกย้ำให้โรคร้ายแรงขึ้น

จริงๆแล้วมีอาหารบางประเภทที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคเกาต์มาก นั่นก็คือผลไม้ เพราะผลไม้ส่วนใหญ่มีฤทธิ์เป็นด่าง ส่วนประกอบสำคัญคือน้ำ น้ำตาล วิตามิน ใยอาหารและแร่ธาตุนิดหน่อย แถมมีสตรอนเชียม (strontium) ต่ำมาก เพราะงั้นคนเป็นโรคเกาต์สามารถกินได้อย่างสบายใจ

มาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

        ปัจจุบันนี้ พร้อมๆกับที่ชีวิตของมนุษย์ดีขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนมีความสุขกับการใช้ชีวิตมากขึ้น ละเลยต่อปัญหาสุขภาพ ทำให้คนไม่น้อยเป็นโรคเกาต์

วันนี้ขอแนะนำผลไม้ที่มีความเป็นด่าง ซึ่งช่วยขับกรดยูริคอย่างดีเยี่ยม

1. องุ่น

องุ่นถือเป็นผลไม้ที่มีความเป็นด่างสูงมาก แพทย์แผนจีนเชื่อว่าองุ่นเป็นกลางและมีรสหวาน สามารถบำรุงตับและไต ทำให้กระดูกและเอ็นแข็งแรง ดีต่อเลือดลม ดีต่อม้าม ช่วยรักษาอาการไร้เรี่ยวแรง แขนขาบวมน้ำ ปัสสาวะไม่สะดวก และอื่นๆ
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ องุ่นเป็นผลไม้ที่เป็นด่าง ไม่มีสตรอนเชียม มีประโยชน์มากในการขจัดกรดยูริคในผู้ที่เป็นโรคเกาต์ แต่องุ่นเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง ควรทยอยรับประทาน ทีละนิด แต่ทานบ่อยๆ จะดีกว่ารับประทานทีเดียวครั้งละมากๆ หากรับประทานทีเดียวครั้งละมากๆ อาจส่งผลให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป

2. แอปเปิ้ล
ผลไม้ที่แสนคุ้นตาในชีวิตประจำวันอย่างแอปเปิ้ลมีความเป็นด่างสูง แอปเปิ้ลสามารถขจัดกรดส่วนเกินในร่างกายได้อย่างรวดเร็วหลังจากถูกรับประทานเข้าไปในร่างกาย (ทั้งสารที่เป็นกรดที่ผลิตจากการเผาผลาญจากการออกกำลังกาย และสารที่เป็นกรดในอาหารเช่นเนื้อสัตว์และไข่) ทำให้ปัสสาวะเป็นด่าง มีประโยชน์ในการขับกรดยูริค

3. เชอร์รี่
จากการวิจัยพบว่า เชอร์รี่นอกจากจะอุดมไปด้วยวิตามินแล้ว ยังมีแอนโทไซยานินจำนวนมาก และสารอาหารหลากชนิด สารอาหารเหล่านี้เมื่อเข้าสู่กระแสเลือดจะทำให้ระบบหมุนเวียนโลหิตทำงานดีขึ้น ช่วยในการขับกรดยูริค บรรเทาอาการที่เกิดจากโรคเกาต์ และโรคข้ออักเสบ

4. กล้วยหอม
กล้วยหอมเป็นอาหารที่ดีมาก มีโซเดียมน้อยมาก แต่ปริมาณโพแทสเซียมสูงมาก โดยโพแทสเซียมสามารถยับยั้งการตกตะกอนของกรดยูริคได้อย่างมีประสิทธิภาพแถมแคลอรี่ต่ำ เพราะงั้นเหมาะมากสำหรับคนอ้วน คนเป็นโรคเกาต์ แนะนำให้กินวันละ 1-2 ลูก (ผู้ที่เป็นโรคไตควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียสสูง)

5. แตงโม
แตงโมเหมือนกล้วยหอม มีโพแทสเซียมสูง แทบจะไม่มีสตรอนเชียม แถมมีน้ำจำนวนมาก ดีต่อม้าม ผู้ที่มีภาวะกรดยูริกในเลือดสูง (hyperuricemia) ควรกินแตงโมบ้าง เพื่อเพิ่มน้ำให้ร่างกาย จะได้ปัสสาวะเร็วขึ้น (ผู้ที่เป็นโรคไตควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียสสูง)

6. ทุเรียน
ทุกคนรู้จักทุเรียนเป็นอย่างดี มันได้ชื่อว่าเป็น “ราชาแห่งผลไม้” จริงๆแล้วผู้ป่วยโรคเกาต์กินทุเรียนบ่อยๆดี

        ทุเรียนอุดมไปด้วยโพแทสเซียมและวิตามินซี ซึ่งโพแทสเซียมช่วยยับยั้งการตกตะกอนของกรดยูริค ส่วน วิตามินซีช่วยละลายผลึกกรดยูริคที่ตกตะกอนอยู่แล้ว ทำให้ร่างกายขับกรดยูริคออกมาได้ทัน แต่เนื่องจากทุเรียนมีน้ำตาลสูง แคลอรี่สูง เพราะงั้นอย่ากินเยอะ ห้ามกินเกินวันละ 100 กรัม

7. ซานจา
ซานจาเป็นผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวๆหวานๆ อุดมไปด้วยฟลาโวนอยด์ (flavonoid) ช่วยป้องกันและรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ เพราะมันช่วยขยายหลอดเลือด เพิ่มการไหลเวียนของหลอดเลือด ช่วยให้หัวใจทำงานดีขึ้น กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง แถมยังช่วยลดไข่มันไม่ดีในเลือดได้ด้วย ลดคอเลสเตอรอล ทำให้หลอดเลือดนิ่ม ลดความเสี่ยงของโรคเกาต์

        กินซานจาวันละ 2-3 ลูก เปรี้ยวๆหวานๆ หรือจะเอามาแช่น้ำดื่ม แต่ระวังอย่าดื่มหรือกินตอนท้องว่าง เพราะจะระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร

ข้อมูลจาก http://www.liekr.com/post03098541000682  

------------------------------

 มีงานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้พบว่า การทานนมไขมันต่ำแค่วันละ 1 แก้ว สามารถลดการเกิดโรคเกาต์ได้มากกว่า 40%” ทั้งนี้กลไกที่นมสามารถลดการเกิดโรคเกาต์ได้อย่างน่าทึ่งนั้น เนื่องมาจากในนมมีโปรตีนที่ชื่อ “เคซีน” เมื่อผ่านลงมาลำไส้จะถูกเปลี่ยนเป็นกรดอะมิโนที่ชื่อ “อลานีน” แล้วเข้าสู่ร่างกาย ซึ่ง “อลานีน” นี้เองจะไปช่วยให้ไตขับกรดยูริกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง

ดื่มน้ำสะอาดมากๆ (อย่างน้อยวันละ ๒-๓ ลิตร) เป็นสิ่งที่คนเป็นโรคเกาต์และเราทุกคนควรปฏิบัติ เพราะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการสะสมของผลึกกรดยูริก เป็นการป้องกันการเกิดโรคนิ่วในไตได้ นอกจากนี้ การ กินผักและผลไม้ต่างๆ ให้มากขึ้น ก็เป็นสิ่งที่ดีเพราะช่วย ให้ปัสสาวะมีภาวะเป็นด่าง ทำให้การขับกรดยูริกออกจากร่างกายดีขึ้น อย่างไรก็ตาม คนเป็นโรคเกาต์ควรหลีกเลี่ยงไม่กินผักยอดอ่อนจำพวก กระถิน ชะอม สะเดา เพราะผักเหล่านี้มีสารพิวรีนสูงดังที่กล่าวมาแล้ว

น้ำแร่ ยี่ห้อ มิเนเร่ มีค่าความเป็นด่าง 7.98 ช่วยลดภาวะเลือดเป็นกรดได้ แต่ไม่ควรทานน้ำแร่ในปริมาณที่มากเกินไป เพราะในน้ำแร่มีแร่ธาตุผสมอยู่ หากทานมากเกิดอาจจะทำให้ร่างกายได้รับแร่ธาตุบางตัวสะสมมากเกินความจำเป็น ดังนั้น ควรทานบ้าง เว้นบ้าง สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป การทานอาหารที่ดีที่สุด คือ ทานให้หลากหลาย อย่าทานซ้ำๆ ซากๆ คำพูดจาก นพ. บุญชัย อิศราพิสิษฐ์

------------------------------


อาหาร พืชผักที่ไม่ควรรับประทานมากเกินไป จะทำให้เกิดเป็นนิ่วในไตได้ ก็คือ ผักใบเขียว ยอดใบมันสำปะหลัง 
มันสำปะหลัง ใบชะพลู ผักแพรว หน่อไม้ ผักโขม หัวผักกาด (หัวไชเท้า) ใบชา ชาดำ ชาดำเย็น โกโก้ ช๊อคโกแลต คื่นช่าย คะน้า มะเขือเทศ มะเขือ แครอท บอน เผือก องุ่นแดง สตรอเบอรี่ ผักกระโดน ผักติ้ว ผักเม็ก ผักหวานป่า ผักเสม็ด กะหล่ำ บรอกโคลี หน่อไม้ฝรั่ง หัวบีท งา ถั่วต่างๆ ถั่วแดง ถั่วอัลมอนด์ ถั่ววอลนัท ถั่วเหลือง เกลือ น้ำอัดลม เป็นต้น พืชผักเหล่านี้จะมีสารออกซาเลต (oxalate) ค่อนข้างสูงมาก เป็นสารมีฤทธิ์ในการยับยั้งการดูดซึมของแคลเซียมและแร่ธาตุที่สำคัญหลายชนิดในกระแสเลือด มีผลเสียต่อร่างกายคือ หากรับประทานเป็นประจำทุกวันในปริมาณมาก ออกซาเลตจะเข้าไปตกผลึกสะสมในไตและกระเพาะปัสสาวะทำให้เป็นนิ่ว

อาการภาวะเลือดเป็นกรด (เขียนจากประสบการณ์ส่วนตัว โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)
เป็นอาการเตือนก่อนที่จะเป็นโรคเกาต์

อาการขั้นแรก (ไม่รุนแรงมาก)
เวลานอนเปิดแอร์ อากาศเย็น หรือเดินห้าง จะรู้สึกเหมือนเลือดไม่เดินตามแขนตามขา ออกแนวชาๆ ตามแขน ตามขา เพราะเมื่อกรดยูริคในเลือดเจอกับอากาศเย็น จะจับตัวกันก่อเป็นผลึก ทำให้เลือดเดินไหลเวียนไม่สะดวก ถ้ามีผลึกจำนวนมากก็อาจส่งผลให้เกิดอาการเจ็บปวดปนชาๆ ไปด้วย

อาการขั้นที่สอง (เริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น)
เวลาเปิดแอร์นอน หรือ แม้ว่าจะไม่เปิดแอร์แล้ว ก็ยัง
รู้สึกเหมือนเลือดไม่เดินตามแขนตามขา ออกแนวชาๆ ตามแขน ตามขาเหมือนเดิม ถ้าเป็นมากๆ จะมีอาการเจ็บข้อนิ้ว หรือเจ็บเข่านิดๆ ร่วมเพิ่มไปด้วย

อาการขั้นที่สาม (ความรุนแรงมากๆ)
แม้นอนไม่เปิดแอร์แล้ว แต่ก็ยังรู้สึก เหมือนเลือดไม่เดินตามแขนตามขา ชาๆ ตามแขน ตามขา อย่างมากๆ ใช้แผ่นร้อน Thermo pad ประคบแล้วก็ช่วยได้แค่ชั่วคราว ได้แค่บรรเทา แต่ก็ไม่หาย เจ็บเข่าแปล๊บๆ ร่างกายจะรู้สึกโหวงๆ หวิวๆ วืดๆ วูบๆ ใจตกวูบ ใจตกวูบ เหมือนจะหลุดออกจากร่าง เป็นทั้งคืน ทำให้นอนหลับไม่ได้เกือบทั้งคืน 

แก้ปัญหาภาวะเลือดเป็นกรด ในระดับเบื้องต้น (เขียนจากประสบการณ์ส่วนตัว โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)
1. น้ำแร่ มิเนเร่ 
มีความเป็นด่างสูง ค่า ph 7.98 (เขียนไว้ที่ป้ายขวด) หรือ กินน้ำดื่มเนสท์เล่ หรือ น้ำแร่ เพอร์ร่า
2. แอ๊ปเปิ้ล มีความเป็นด่างสูง หากหาแอ๊ปเปิ้ลสดไม่ได้ก็จะกินน้ำแอ๊ปเปิ้ลผสมน้ำองุ่น ยี่ห้อ Tipco แทน แต่น้ำผลไม้นั้นมีน้ำตาลสูง ก็เลยเทน้ำใบเตยต้มผสมลงไปด้วย เพราะน้ำใบเตยจะช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ แล้วก็ทยอยกินทีละนิด 1-2 อึก หรือ ประมาณ 1/4 ของแก้ว/ครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป
3. กีวี เป็นผลไม้ที่มีความเป็นด่างสูง ซื้อที่ห้างโลตัส ลูกละ 11-15 บาท
4. แครอท เป็นผักที่มีความเป็นด่างสูง ซื้อเครื่องสกัดน้ำผลไม้ มาคั้นกินวันละ 1-2 หัว ได้เลย
5. องุ่น
มีความเป็นด่างสูง แต่องุ่นนั้นมีน้ำตาลสูง เลยทยอยกินทีละ 4-5 ลูก/ครั้ง ใช้วิธีเน้นทานบ่อยๆ ครั้งแทน เราจะไม่กินตูมเดียวทีละเยอะๆ เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป
6. มันฝรั่งต้ม หรือ อบ ย่าง ให้หั่นครึ่งแล้วค่อยนำไปต้ม จะทำให้ปลอกเปลือกมันฝรั่งง่ายขึ้น ถ้าทำแบบต้มไม่ได้ ก็ต้องยอมกินแบบทอด เลย์ เฉพาะห่อสีเหลือง ไม่เอาแบบปรุงผงชูรสมาก การกินมันฝรั่งทอดจะทำให้ร่างกายเราได้รับไขมัน ให้แก้ปัญหาด้วยการออกกำลังให้มากทดแทน และในระหว่างวัน ห้ามกินของทอดประเภทอื่นเข้ามาเพิ่มเติมเด็ดขาด

สมูทตี้ปั่น ลดภาวะเลือดเป็นกรด
- แอปเปิ้ลฟูจิ 1/2 ลูก มีความเป็นด่างสูง
- แอปเปิ้ลเขียว 1/2 ลูก มีความเป็นด่างสูง
- กีวี 1/2 ลูก มีความเป็นด่างสูง
- แครอทลวก หรือ ต้มแล้ว  3-5 ชิ้น ให้ความเป็นด่างสูง (เบต้าแคโรทีนจะสูงขึ้นเมื่อแครอทโดนความร้อน)
- น้ำแอปเปิ้ลผสมองุ่น หรือน้ำกีวี ยี่ห้อ Tipco 2/6 ของแก้วปั่น (ปัญหาคือมีน้ำตาลมาก ระวังภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป)
- น้ำใบเตยต้ม 2/6 ของแก้วปั่น (ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ควรใส่เมื่อใส่น้ำแอปเปิ้ล หรือน้ำกีวี เท่านั้น เพราะน้ำผลไม้มีน้ำตาลมาก ถ้าปั่นเฉพาะผลไม้สดก็ไม่ควรใส่ เราควรระวังภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไปด้วย) นำขวดแก้วไปต้มในน้ำเดือดนาน 10 นาที ตากขวดให้แห้ง เทน้ำใบเตยต้มร้อนๆลงขวดทันที ปิดฝาทันที นำเข้าตู้เย็น เรียกว่าการพาสเจอร์ไรส์ จะทำให้น้ำใบเตยเก็บได้นานหลายวัน

-------------------------------

กรดยูริก คืออะไร?
 คือกรดชนิดหนึ่งในร่างกายของเรา ซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายของเราย่อยสารพิวรีน (Purine) ซึ่งเจ้าสารพิวรีนนี้เกิดจากร่างกายเราได้รับจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป หรือให้เข้าใจง่ายดังนี้

1.ร่างกายได้รับพิวรีน => 2.ร่างกายก็พยายามกำจัดพิวรีน => 3.เมื่อกำจัดพิวรีนได้จึงเกิด => 4.กรดยูริก => 5.ร่างกายไม่สามารถขับยูริกออกทางไตได้หมด => 6.กรดยูริกไปสะสมตามข้อ => 7.เกิดโรคเก๊าท์ในที่สุด

กรด​ยูริก​เป็น​ของ​เสีย​ที่​ไหล​เวียน​อยู่​ใน​เลือด และ​เป็น​ผล​ที่​เกิด​จาก​การ​สลาย​ตัว​ของ​สาร​ที่​เรียก​ว่า​พิวรีน. เมื่อ​มี​การ​สะสม​ของ​กรด​ยูริก ซึ่ง​มัก​เกิด​จาก​การ​ขจัด​กรด​นี้​ออก​ไป​ทาง​ปัสสาวะ​ไม่​มาก​พอ ผลึก​ที่​แหลม​คม​เหมือน​เข็ม​อาจ​ก่อ​ตัว​ขึ้น

กรดยูริกในเลือดที่สูง จะมีผลต่อผู้ป่วยที่มีปัญหาหูอื้อ เสียงดังในหู และเวียนศีรษะบ้านหมุนได้ โดยจะทำให้เส้นเลือดหดตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงประสาทหู และอวัยวะทรงตัวได้น้อย ทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการได้ยิน และการทรงตัวได้

ข้อมูลจาก http://www.rcot.org/2016/People/Detail/148 
ข้อมูลจาก https://wol.jw.org/th/wol/d/r113/lp-si/102012292
[ ความเห็นที่ 1]
อาหารกรด-อาหารด่าง เรียงตาม PRAL Score

PRAL ย่อมาจาก (potential renal acid load) โดยปกติทางการแพทย์จะใช้ค่านี้  เพื่อวัดศักยภาพของสารใดสารหนึ่ง ที่เมื่อผ่านไตแล้ว จะให้ค่าความเป็นกรดมากน้อยแค่ไหน

ในที่นี้จะนำค่า PRAL มาวัดศักยภาพ ของอาหารแต่ละชนิด  ที่เมื่อร่างกายย่อย และผ่านมาถึงไตแล้ว  จะให้กรดหรือด่างมากน้อยแค่ไหน

โดยมีการให้ระดับคะแนนที่เรียกว่า PRAL Score  โดย…

PRAL + แสดงความเป็นกรด  และ PRAL – แสดงความเป็นด่าง  ดังนี้

เนื้อสัตว์ PRAL Score
เนื้อปลา 6.8-10.8
เนื้อไก่ 8.7
เนื้อหมู 7.9
เนื้อวัว 7.8

PRAL + แสดงความเป็นกรด  และ PRAL – แสดงความเป็นด่าง  ดังนี้

นม ไข่ PRAL Score
Parmesan Cheese 34.2
Processed Cheese 28.7
ชีส low fat Cheddar 26.4
ชีสแข็ง 19.2
Gouda Cheese 18.6
คอทเทจชีส 8.7
ไข่แดง 23.4
ไข่ทั้งฟอง 8.2
ไข่ขาว 1.1
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1.5
โยเกิร์ตรสผลไม้ 1.2
นมวัว 1.1
นมวัวพาสเจอร์ไรส์ 0.7
ไอศครีม 0.6

PRAL + แสดงความเป็นกรด  และ PRAL – แสดงความเป็นด่าง  ดังนี้

น้ำตาล PRAL Score
ช็อคโกแลตนม 2.4
เค้ก 3.7
น้ำตาลขาว -0.1
น้ำผึ้ง -0.3
แยม -1.5

PRAL + แสดงความเป็นกรด  และ PRAL – แสดงความเป็นด่าง  ดังนี้

ผัก PRAL Score
หน่อไม้ฝรั่ง -0.4
แตงกวา -0.8
บล็อคโคลี่ -1.2
พริกไทย -1.4
เห็ด -1.4
หัวหอม -1.5
กระเทียม -1.8
ผักกาดหอม -2.5
ซูกินี่ (แตงกวาญี่ปุ่น) -2.6
น้ำมะเขือเทศ -2.8
มะเขือเทศ -3.1
ถั่วแขก -3.1
มะเขือยาว -3.4
หัวไชเท้า -3.7
มันฝรั่ง -4.0
ดอกกระหล่ำ -4.0
แครอท -4.9
เซเลอรี่ -5.2
ผักโขม (ปวยเล้ง) -14.0

อาหาร พืชผักที่ไม่ควรรับประทานมากเกินไป จะทำให้เกิดเป็นนิ่วในไตได้ ก็คือ ผักใบเขียว ยอดใบมันสำปะหลัง มันสำปะหลัง ใบชะพลู ผักแพรว หน่อไม้ ผักโขม หัวผักกาด (หัวไชเท้า) ใบชา ชาดำ ชาดำเย็น โกโก้ ช๊อคโกแลต คื่นช่าย คะน้า มะเขือเทศ มะเขือ แครอท บอน เผือก องุ่นแดง สตรอเบอรี่ ผักกระโดน ผักติ้ว ผักเม็ก ผักหวานป่า ผักเสม็ด กะหล่ำ บรอกโคลี หน่อไม้ฝรั่ง หัวบีท งา ถั่วต่างๆ ถั่วแดง ถั่วอัลมอนด์ ถั่ววอลนัท ถั่วเหลือง เกลือ น้ำอัดลม เป็นต้น พืชผักเหล่านี้จะมีสารออกซาเลต (oxalate) ค่อนข้างสูงมาก เป็นสารมีฤทธิ์ในการยับยั้งการดูดซึมของแคลเซียมและแร่ธาตุที่สำคัญหลายชนิดในกระแสเลือด มีผลเสียต่อร่างกายคือ หากรับประทานเป็นประจำทุกวันในปริมาณมาก ออกซาเลตจะเข้าไปตกผลึกสะสมในไตและกระเพาะปัสสาวะทำให้เป็นนิ่ว

PRAL + แสดงความเป็นกรด  และ PRAL – แสดงความเป็นด่าง  ดังนี้

ผลไม้,น้ำผลไม้ และถั่ว PRAL Score
ถั่วลิสง 8.3
วอลนัท 6.8
ถั่วเลนทิล 3.5
ถั่วลันเตา 1.2
น้ำองุ่น -1.0
แตงโม -1.9
น้ำแอ๊ปเปิ้ล -2.2
แอ๊ปเปิ้ล -2.2
ลูกพีช -2.4
น้ำมะนาว -2.5
ส้ม -2.7
สัปปะรด -2.7
เฮเซลนัท -2.8
น้ำส้ม -2.9
ลูกแพร -2.9
เชอร์รี่ -3.6
ลูกกีวี่ -4.1
แอ๊พพริคอท -4.8
กล้วยหอม -5.5
แบล็คเคอร์แรนท์ -6.5
ลูกเกด -21.0

PRAL + แสดงความเป็นกรด  และ PRAL – แสดงความเป็นด่าง  ดังนี้

แป้ง PRAL Score
ข้าวกล้อง 12.5
ข้าวโอ๊ต 10.7
แป้งสาลี 8.2
สปาเก็ตตี้โฮลเกรน 7.3
สปาเก็ตตี้ขาว 6.5
บะหมีเหลือง 6.4
คอนเฟล็ก 6.0
ขนมปังโฮลวีท
ผสมเมล็ดธัญพืช
3.8
ขนมปังขาว 3.7
ขนมปังโฮลวีท 1.8

PRAL + แสดงความเป็นกรด  และ PRAL – แสดงความเป็นด่าง  ดังนี้

ไขมัน PRAL Score
เนย 0.6
น้ำมันมะกอก 0
น้ำมันดอกทานตะวัน 0
   

PRAL + แสดงความเป็นกรด  และ PRAL – แสดงความเป็นด่าง  ดังนี้

เครื่องดื่ม PRAL Score
Pale Beer 0.9
น้ำอัดลม 0.4
Stout Beer -0.1
เบียร์สด -0.2
ชา -0.3
โกโก้ -0.4
ไวน์ขาว -1.2
กาแฟ -1.4
น้ำแร่ -1.8
ไวน์แดง -2.4

ข้อมูลจาก acidalkalinediet.net
ข้อมูลจาก 
https://www.ezygodiet.com/